เหตุใดคนรุ่นใหม่จึงเป็นมะเร็งมากขึ้น

ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

บทความพิเศษ | จักรกฤษณ์ สิริริน

 

เหตุใดคนรุ่นใหม่จึงเป็นมะเร็งมากขึ้น

 

ศาสตราจารย์ Frank Frizelle ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก จาก University of Otago ประเทศ New Zealand กล่าวว่า การที่คนรุ่นใหม่เป็นมะเร็งมากขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

“โรคอ้วนมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็ง เนื่องจากความอ้วนก่อให้เกิดการอักเสบ และความผิดปกติของฮอร์โมนได้มากกว่า” ศาสตราจารย์ Frank Frizelle กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อปีกลาย ศาสตราจารย์ Frank Frizelle ได้เคยออกมาเรียกร้องให้มีการวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของไมโครพลาสติกในมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น

“ไมโครพลาสติกอาจทำลายชั้นเมือกป้องกันของลำไส้ใหญ่” ศาสตราจารย์ Frank Frizelle ระบุ

 

นอกจากนี้ สารเติมแต่งในอาหารแปรรูป เช่น Emulsifier/ Stabilizer (สารทำให้คงตัว) หรือสีผสมอาหาร อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่เชื่อมโยงกับมะเร็งลำไส้ใหญ่

“การใช้ยาปฏิชีวนะที่เพิ่มขึ้นมากถึง 45% นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก ส่งผลต่อสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้หลายชนิดด้วย” ศาสตราจารย์ Frank Frizelle กล่าว

และว่า “ความสูงที่เพิ่มขึ้นของคนรุ่นใหม่ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ได้เช่นกัน”

“ความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ที่เพิ่มขึ้นอาจเกิดจากจำนวนเซลล์ที่มีมากขึ้น รวมถึงการได้รับฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ และพื้นที่ผิวของลำไส้ใหญ่ที่กว้างขึ้น ทั้งหมดนี้ เพิ่มโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์” ศาสตราจารย์ Frank Frizelle สรุป

ทั้งนี้ การได้รับแสงไฟจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือไฟถนนอย่างต่อเนื่อง ก็จะไปรบกวนระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย และเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

“การทำงานกลางคืนที่ต้องสัมผัสกับแสงในยามค่ำติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจลดระดับ Melatonin และกระตุ้นการเติบโตของมะเร็งได้” ศาสตราจารย์ Frank Frizelle ทิ้งท้าย

 

ศาสตราจารย์ Malcolm Dunlop ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แห่ง University of Edinburgh ชี้ว่า โดยปกติแล้วมะเร็งเกิดจาก 3 ปัจจัย

“หนึ่ง มะเร็งเกิดจากปัจจัยภายใน เช่น ความเปลี่ยนแปลงของยีนบางอย่างในร่างกาย สอง ปัจจัยภายนอก คือ สิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ฝุ่น PM2.5 พฤติกรรมการกิน ความเครียด ออกกำลังกายน้อย พักผ่อนน้อย สาม ปัจจัยอื่นๆ ที่ยังไม่มีคำตอบ”

“ในส่วนของปัจจัยที่ 3 พบว่า คนมีอายุน้อยเริ่มเป็นมะเร็งมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนรุ่นใหม่ได้รับสิ่งกระตุ้นมะเร็งมาแต่ยังเป็นเด็กเล็ก จึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ จากเซลล์ดีกลายเป็นเซลล์ไม่ดีในเวลาต่อมา ศาสตราจารย์” Malcolm Dunlop กล่าว

และว่า “ในอดีตมะเร็งเป็นโรคของผู้สูงอายุ คือต้องมีอายุมาก เซลล์จึงจะเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ดีเป็นเซลล์ไม่ดี แต่ในปัจจุบัน มีปัจจัยกระตุ้นมะเร็งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการผลิตอาหาร วิถีชีวิตที่เร่งรีบ พฤติกรรมการกิน มลภาวะทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM 2.5 ที่กระตุ้นให้ยีนปกติเปลี่ยนไปเป็นยีนก่อมะเร็ง”

“ทั้งหมดนี้ คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนก่อมะเร็งมากขึ้น และเจอเร็วขึ้นกว่าในอดีต” ศาสตราจารย์ Malcolm Dunlop กล่าว

และว่า “ทั้งนี้ อัตราการเกิดมะเร็ง 29 ชนิด จาก 204 ประเทศ ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากถึง 80% ระหว่างปี ค.ศ.1990 ถึงปี ค.ศ.2019 โดยกลุ่มนี้มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้น 30%”

“อัตราการเกิดมะเร็งชนิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่ม Generation X และ Generation Y เช่น อัตราการเกิดมะเร็งเต้านมในกลุ่มผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี เพิ่มขึ้นปีละ 1.5% เทียบกับ 0.5% ในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ระหว่างปี ค.ศ. 2012 ถึงปี ค.ศ. 2021”

นอกจากนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของมะเร็งในคนรุ่นใหม่ ยังพบมะเร็งประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งโพรงจมูก มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยเช่นกัน

“มะเร็งที่เกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาวเกิดจากสาเหตุหลายปัจจัย ทำให้การระบุปัจจัยเหล่านี้เป็นเรื่องยาก ปัญหาสำคัญก็คือ แม้ว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจคัดกรองมะเร็งในกลุ่มคนอายุน้อย ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เนื่องจากความเสี่ยงโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ” ศาสตราจารย์ Malcolm Dunlop ระบุ

 

ศาสตราจารย์ Malcolm Dunlop กล่าวว่า โดยส่วนใหญ่แล้ว 80% ของอัตราการตรวจคัดกรองมะเร็ง จะได้รับการวินิจฉัยเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป

คนรุ่นใหม่ที่ไม่สูบบุหรี่ แต่เป็นผู้ได้รับควันบุหรี่มือสอง มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 30% และเสี่ยงเป็นมะเร็งอื่นๆ เพิ่มขึ้น 15% โดยเฉพาะอย่างยิ่งควันบุหรี่มือสองยังทำให้เป็นมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ และอาจเชื่อมโยงกับมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งเต้านมอีกด้วย

“มีผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี โดยในกลุ่มนี้ จำนวน 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสอง ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี” ศาสตราจารย์ Malcolm Dunlop ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ ทวีปที่มีผู้ป่วยมะเร็งอายุน้อยมากที่สุด คืออเมริกาเหนือ โอเชียเนีย และยุโรปตะวันตก โดยทวีปที่พบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัยหนุ่มสาวมากที่สุด คือกลุ่มประเทศโอเชียเนีย ยุโรปตะวันออก และเอเชียกลาง

ในส่วนของประเทศที่มีรายได้ปานกลางในกลุ่มคนอายุน้อย เพศหญิงเป็นมะเร็งมากกว่าเพศชาย โดยมะเร็งเต้านมทำให้มีอัตราการตายในกลุ่มชาวเอเชียเพิ่มขึ้นมากที่สุดจากเฉลี่ย 12 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี ค.ศ.1990 มาเป็นเฉลี่ย 15 คนต่อประชากร 100,000 คน ในปี ค.ศ.2019

สาเหตุหลักก็คือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใกล้เคียงกับชาวตะวันตก และความเปลี่ยนแปลงด้านการเจริญพันธุ์ เช่น มีประจำเดือนเร็วขึ้น หรือใช้ยาคุมกำเนิด

 

ส่วนในบ้านเรา ข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2567 ระบุว่า คนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ปีละกว่า 140,000 คน และเสียชีวิตราว 83,000 ราย

ในจำนวนนั้น โรคมะเร็งที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย 5 อันดับแรกคือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว

โดยค่ารักษาผู้ป่วยมะเร็ง 5 ชนิดดังกล่าวในช่วง 5 ปีแรก มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน 300,000-2,300,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค หรือผลข้างเคียงจากการรักษา

กรณีผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาหายแล้ว แต่กลับมาเป็นซ้ำอีก และเสียชีวิต ส่งผลให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายสูงสุดคิดเป็น 70% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะที่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เป็นปัจจัยหลักของต้นทุนทางเศรษฐกิจคิดเป็น 64% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2561 ค่าใช้จ่ายรวมของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ในไทย อยู่ที่ 5,000 ล้านบาทต่อปี

 

จากข้อมูลทางการแพทย์ มะเร็งระยะที่ 1 จะมีก้อนเนื้อ หรือแผลมะเร็งขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม หรือลุกลามเฉพาะในเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะต้นกำเนิดมะเร็ง

ส่วนระยะที่ 2 ก้อนเนื้อหรือแผลมะเร็งจะมีขนาดใหญ่ การลุกลามมีไม่มาก โดยอาจลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองใกล้เนื้อเยื่อ หรืออวัยวะที่เป็นมะเร็ง

แน่นอนว่า มะเร็งเป็นปัญหาด้านสาธารณสุข และเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงการรักษา และมาตรการป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วย และลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขไทยในอนาคตได้