ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 เมษายน 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ
มอง ก.ศ.ร.กุหลาบ
ผ่าน นายตำรา ณ เมืองใต้
โดย ‘สยามประเภท’
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2440 หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเผยโฉมหน้าออกมาร่วมกับโลกหนังสือพิมพ์อื่นซึ่งขณะนั้นออกจำหน่ายอยู่หลายฉบับ
หนังสือนี้ชื่อว่า “สยามประเภท” มีสร้อยว่า “สุนทโรวาทพิเศษ”
และแสดงแนวทางไว้ว่า “สรรพตำราความรู้ ความฉลาด ทางคติธรรมและคติโลก สำหรับมนุษย์ บุรุษ สตรี สืบสกุลบุตรภายหน้า”
หนังสือนี้หอสมุดสำหรับพระนคร (หอสมุดแห่งชาติ) ได้รวมไว้ตู้หนึ่งต่างหาก และไว้ในห้องอื่นไม่รวมกับหนังสือที่เปิดให้สาธารณชนยืมอ่าน เป็นหนังสือที่ไม่พึงอ่าน ขณะนี้ (พ.ศ.2490) ตู้นั้นไม่มีอยู่แล้ว
แต่หนังสือนี้ (นายตำรา ณ เมืองใต้ ระบุว่า) เป็นหนังสือที่น่าอ่าน
ก.ศ.ร.กุหลาบ ผู้เป็นเอดิเตอร์ แต่งคนเดียว ทำคนเดียว เช่นเดียวกับหนังสือ “ตุละวิภาค” ของ “เทียนวรรณ”
นับเป็นหนังสือที่เก่งกล้า ไม่รวมหัวกับใคร
หนังสือนี้นอกจากจะตอบปัญหาทุกชนิดที่มีผู้ถามมา พิมพ์เรื่องที่เป็นโบราณคดีและประวัติศาสตร์ซึ่งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง อย่างเช่นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องเก่าๆ ทั้งหลาย
ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการขอดค่อนสังคมและความคิดเห็นอย่างองอาจของเอดิเตอร์อีกด้วย
บทวิพากษ์ “คนโก้”
จาก ก.ศ.ร.กุหลาบ
หนังสือ “สยามประเภท” อัน ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นผู้เขียนได้ตำหนิศาสนาซึ่งเอาไสยศาสตร์เข้ามาปนว่า ไทยต้องการพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไสยศาสตร์
ติเตียนคนที่มีกิริยาโก้ซึ่ง ก.ศ.ร.กุหลาบแปลว่า “ทางฉิบหาย”
และอาการของคนโก้นั้น ก.ศ.ร.กุหลาบ รวบรวมไว้ว่ามีความประพฤติ ดังนี้
“นั่งรถม้าเทศ สารถี 2 คน มีบ่าวตามหลัง สวมรองเท้าห้างยอนแยมสันหรืออินเตอร์ ใช้เสื้อในลินินอย่างบาง ม่วงหางกระรอกไหมเขมรหรือโคราช เข้มขัดหนังจระเข้ เสื้อนอกผ้าขาวห้างยอนแยมสัน สวมหมวกสานปานามาอย่างงิ้ว
ใช้นาฬิกาพกทองคำอย่างบาง สร้อยทองคำฝังเพชร มีดติดกระเป๋าเสื้อด้ามงาช้างอย่างเก่า ซองบุหรี่ตรา จ. สาม จ. กระดุมลงยาตราแผ่นดิน
สูบกล้องห้างพระปฏิบัติ ผ้าเช็ดหน้าลินินเนื้อหนาอย่างยุโรป สูบบุหรี่อิยิปต์ก้นทองหรือไม้ก๊อก ไม้ขีดไฟสวีเดน ถือไม้เท้าเชอรี่ กั้นร่มแพรด้ามไม้ก้านเหล็ก กินอาหารโอเรียลเต็ล ดื่มวิศกี้กลอสัน บรั่นดีสามดาวเจือโซดา
พูดฝรั่งแกมไทยในเวลาเมาและไม่เมา”
นี่คืออาการของสุภาพบุรุษผู้โก้สมัย ก.ศ.ร.กุหลาบ ในที่หลายแห่งในหนังสือ “สยามประเภท” จะพบคำขวัญเยาะๆ ว่า
“อย่าอ่าน อย่าดู อย่าฟัง” ซึ่งเป็นอาการของคนส่วนมากในขณะนั้น
ปักหมุด “ศรีปราชญ์”
ฉบับ “สยามประเภท”
ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้เรียบเรียงประวัติคนสำคัญไว้หลายคน รวมทั้งประวัติของ “ศรีปราชญ์” และ “สุนทรภู่”
เท็จจริงเป็นอย่างไร โปรดวินิจฉัยเอง
“ศรีปราชญ์” นั้น ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้ลำดับวงศ์ไว้ว่าเป็นบุตรพระมหาราชครู ผู้แต่งเรื่องยวนพ่ายและสมุทโฆษ ว่าพระมหาราชครูเป็นข้าราชการในพระเจ้าพุทธเจ้าเสือ
มารดาของ “ศรีปราชญ์” คือ น้องสาวหม่อมห้ามเจ้าเวียงจันทน์
“ศรีปราชญ์” ได้ตำแหน่งในกรมพระอาลักษณ์ ต่อมาได้ถูกประหารชีวิตที่เมืองนครศรีธรรมราชเมื่อ “ศรีปราชญ์” อายุ 39 ปี จ.ศ.1066
“ศรีปราชญ์” มีบุตรชื่ออุลิต เป็นตำแหน่งพระศรีภูริปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ พระศรีภูริปรีชาคนนี้เป็นปู่ของขุนสระ (หน) นายด่านเมืองอุทัย ผู้แต่งเพชรมงกุฎในรัชกาลที่ 1 ได้เป็นเจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เจ้าพระยาพระคลังมีบุตรชื่อนิ่ม ได้เป็นสนมในรัชกาลที่ 2 มีบุตรชื่อมั่ง คือ กรมพระยาเดชาดิศร
เงาสะท้อน “กุหลาบ”
นายตำรา ณ เมืองใต้
หากอ่านเนื้อความอัน นายตำรา ณ เมืองใต้ ถ่ายทอดเรื่องราวของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ผ่านหนังสือ “ปริทรรศน์วรรณคดีไทย” อันเป็นงานที่มีการเผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2490 ก็จะสัมผัสได้ในความรู้สึกของผู้เขียน
เป็นความรู้สึกที่ทั้ง “ความสนใจ” ระคนเคล้ากับ “ความหวาดระแวง”
เห็นได้จากที่สะท้อนออกมาว่า การที่ต้องนำ ก.ศ.ร.กุหลาบ มากล่าวมิใช่ว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ เขียนหนังสืออะไรเป็นหลักฐาน ตรงกันข้าม เป็นเพราะ ก.ศ.ร.กุหลาบเขียนหนังสืออันไม่เป็นหลักฐานต่างหาก
เห็นได้จาก เมื่อครั้งมีการแสดงการพิพิธภัณฑ์ ณ ท้องสนามหลวง ก.ศ.ร.กุหลาบ นำหนังสือออกร่วมแสดง 150 เรื่อง เป็นหนังสือพันเล่มเศษ
นับว่าเป็นเจ้าของ “คลังหนังสือ”
ทำให้คนสนเท่ห์ว่าได้มาจากไหน โดยอาการอย่างไร ยิ่งนักหนังสือสมัยนั้นซึ่งเป็นเจ้านายและข้าราชการผู้ใหญ่ยิ่งพากันพิศวงนัก เพราะหนังสือของ ก.ศ.ร.กุหลาบ เป็นหนังสือจำพวกมีต้นฉบับน้อยและเจ้าของหวงแหนโดยเหตุผลต่างๆ กัน
เมื่อมีหนังสือมากก็เท่ากับเป็นผู้รู้มาก และสมัยนั้น ไม่ว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ หรือใครๆ เมื่อแสดงความรู้ออกไปก็หาคนค้านหรือพิสูจน์ความจริงไม่ค่อยได้
จะปล่อยความรู้เท็จหรือรู้จริงออกมานั้นแล้วแต่หิริโอตตัปปะของตนเอง
บทสรุปไม่ว่าจะต่อ ก.ศ.ร.กุหลาบ ไม่ว่าจะต่อ ต.ว.ส. วัณณาโภ อันเป็นคนในช่วงแห่งหัวเลี้ยวหัวต่อในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กับแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
จึงกลายเป็นประเด็น จึงเกิดเป็นคำถามตามมาตั้งแต่ยุค นายตำรา ณ เมืองใต้ ในปี พ.ศ.2490 กระทั่งยุคของ นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ในห้วงก่อนสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516
ดังที่ปรากฏในหนังสือ “ชีวิตและงานของ เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ” นั่นก็คือ
ยก ก.ศ.ร.กุหลาบ
เคียง ต.ว.ส. วัณณาโภ
แม้ว่าบุคคลทั้งสองจะไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการก็ตาม แต่โอกาสที่ได้เรียนรู้ความก้าวหน้าของตะวันตกเกิดจากลักษณะพิเศษบางอย่างซึ่งสามัญชนโดยทั่วไปไม่มี
กล่าวคือ ทั้งสองได้เคยบวชเรียนในพระพุทธศาสนากับนักปราชญ์คนสำคัญของศาสนาในวัดที่เป็นศูนย์กลางแห่งปัญญา ทั้งสองได้มีโอกาสคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและเจ้านายผู้อื่นที่มีความสัมพันธ์กับฝรั่งตะวันตก
ในประการที่สอง บุคคลทั้งสองมีความสามารถที่จะติดต่อสื่อสารและรับเอาวิทยาการแผนใหม่จากตะวันตกได้ด้วยการรู้ภาษาตะวันตก
และทั้งสองเคยเดินทางไปต่างประเทศได้เห็นความเจริญของชนชาติต่างๆ
ในประการที่สาม ทั้ง “เทียนวรรณ” และ “ก.ศ.ร.กุหลาบ” จัดว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ชอบเอกสารค้นคว้า รักความรู้และมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ในประการที่สี่ คนทั้งสองมีลักษณะร่วมกันคือ ความตั้งใจที่จะแพร่หลายความรู้ที่ตนได้รับต่อคนไทยคนอื่นๆ ซึ่งไม่มีโอกาสดีอย่างตน ด้วยการใช้ความรู้เทคนิคการพิมพ์เผยแพร่ความรู้ใหม่ๆ
และสอดแทรกความคิดใหม่ๆ ต่อประชาชนผู้รู้หนังสือ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022