ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ทุกวันนี้ได้ยินคำว่า ‘ตอแหล’ บ่อยมากจากละครทีวี หรือจากผู้คนทะเลาะเบาะแว้งมีปากเสียงกันในชีวิตจริง ถ้าใช้คำนี้กับเด็กที่สอนพูด มีความหมายว่า ช่างพูดและแสดงกิริยาน่ารัก แต่มิใช่เช่นนั้นเสมอไป ในนิทานคำกลอนเรื่อง “พระอภัยมณี” ตอนที่นางผีเสื้อสมุทรตามหาพระอภัยมณีและพบสินสมุทรเข้า นางพยายามหลอกถามลูกชายเรื่องพ่อว่า
“จะไปไหนไม่ห้ามจะตามส่ง ไหนทรงฤทธิ์บิตุรงค์เล่าลูกเอ๋ย
แม่ขอพบพูดจาประสาเคย แล้วทรามเชยจึงค่อยพาบิดาไป ฯ”
สินสมุทรรู้ทันแม่ จึงแก้ไขสถานการณ์คับขันทันที
“๏ สินสมุทรสุดฉลาดไม่อาจบอก ยังซ้ำหลอกลวงแม่พูดแก้ไข
มิใช่การมารดาจะคลาไคล ขอเชิญไปอยู่ในถ้ำให้สำราญ
ซึ่งจะให้ไปบอกออกมาหา บิดาข้าขี้ขลาดไม่อาจหาญ
พระแม่อย่าทารกรรมให้รำคาญ ไม่ช้านานบิตุรงค์คงจะมา ฯ”
(ทารกรรม หรือทรกรรม คือ ทรมานทรกรรม หมายถึง การทำให้ลำบาก ทำให้อยู่ในภาวะยากลำบาก)
คำตอบลูกจี้จุดเดือดแม่ ความโกรธพรูพรั่งยั้งไม่อยู่
“๏ อสุรีผีเสื้อเหลือจะอด แค้นโอรสราวกับไฟไหม้มังสา
ช่างหลอกหลอนผ่อนผันจำนรรจา แม้นจะว่าโดยดีเห็นมิฟัง
จะจับไว้ให้พาไปหาพ่อ แล้วหักคอเสียให้ตายเมื่อภายหลัง
โกรธตวาดผาดเสียงสำเนียงดัง น้อยหรือยังโหยกเหยกเด็กเกเร
ช่างว่ากล่าวราวกับกูไม่รู้เท่า มาพูดเอาเปรียบผู้ใหญ่ทำไพล่เผล
เอาบิดรซ่อนไว้ในทะเล ทำโว้เว้ว่ากล่าวให้ยาวความ
ยิ่งปลอบโยนโอนอ่อนยิ่งหลอนหลอก แม้นไม่บอกโดยดีจะตีถาม”
แม่พยายามจับตัวลูก แต่ความว่องไวของผู้ใหญ่กับเด็กนั้นผิดกัน สินสมุทรหนีรอดไปได้ ในขณะที่แม่เอาแต่ค้นหาลูกจนเย็นค่ำ ทำเอาย่ำแย่กันทั่วทั้งตนเองและภูเขา
“เสียงคลื่นโครมโถมตะครุบก้อนศิลา จนหน้าตาแตกยับลงสับเงา
แล้วลุกขึ้นยืนชะโงกโยกสิงขร จนโคลงคลอนเคลื่อนดังทั้งภูเขา
ยิ่งมืดค่ำสำเหนียกร้องเรียกเดา ไม่พ้นเราเร่งมาหาโดยดี
เห็นไม่ขานมารร้ายทลายซ้ำ เขาระยำย่อยยับดังสับสี”
มาถึงตรงนี้ ความอดทนของนางผีเสื้อสมุทรก็สิ้นสุด มีแต่ความแค้นแน่นอก
“ช่างชาติชั่วหัวกระดูกลูกตอแหล ลวงให้แม่หลงกลเที่ยวค้นหา
เออกระนั้นมันจึงทบตลบมา ให้บิดาเลยไปเสียไกลแล้ว”
นางผีเสื้อสมุทรด่าสินสมุทรว่า ‘ลูกตอแหล’ หมายความว่า ไอ้ลูกคนนี้พูดโกหก ปั้นน้ำเป็นตัว วางกลอุบายหลอกลวงแม่ให้หลงเชื่อ คำพูดหาความจริงไม่ได้เลย
คําว่า ‘ตอแหล’ ยังพบในวรรณคดีเรื่องนี้อีกหลายครั้ง ทั้งในแง่ที่ด่าทอตัวเอง และถูกผู้อื่นด่าอย่างไม่ไว้หน้า
น่าสังเกตว่าคำนี้ดูเหมือนจะนิยมใช้กับผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นจากตอนที่สุดสาครกับหัสไชยเข้าไปในวังของนางละเวง
นางวางอุบายให้สุลาลีวันทำเสน่ห์สุดสาคร โดยให้สุลาลีวันออกไปรับตัวสุดสาครพาไปเฝ้าพระอภัยมณี
หลังจากนั้นพระอภัยมณีที่ต้องเสน่ห์นางละเวงแล้ว พยายามเกลี้ยกล่อมสุดสาครให้ละชีวิตนักบวชมาใช้ชีวิตทางโลก ครองคู่อยู่กับสุลาลีวัน แต่สุดสาครไม่ยินยอม พระอภัยมณีจึงให้นางพาพระโอรสไปคุมตัวไว้ ส่วนหัสไชยทรงแยกเอาตัวไว้ให้อยู่กับพระองค์ ทำเอาสุดสาครยิ่งกลัดกลุ้ม
“พระบิตุรงค์หลงใหลแล้วไม่สา ยังจะพาลูกให้ซ้ำถลำหลุม
ไม่ยอมรักกักขังให้นั่งคุม ให้นึกกลุ้มกลัดใจด้วยไม่เคย”
สุดสาครเอาแต่กอดเข่านั่งก้มหน้าภาวนา ไม่สนใจเครื่องเสวยที่สุลาลีวันนำมาให้ ท่าทีเช่นนี้ทำให้นางนึกขำและเย้าว่า ‘พระองค์คิดแต่งเพลงยาว (หรือจดหมายรัก) ถึงนางเสาวคนธ์น้องสาวหรือเพคะ’ ทำให้สุดสาครเดือดดาลนัก
“เอานามน้องของข้ามาพูดกาลี โน่นหล่อนดีดอกไม่เป็นเหมือนเช่นตัว
พึ่งรุ่นราวสาวแส้กระแตวับ ไม่นอนหลับเลียปากให้อยากผัว
เฝ้าพูดจาว่าแต่เขาช่างเมามัว เจ้ามันตัวสันทัดได้หัดปรือ
จนดึกดื่นขืนเฝ้าแต่เซ้าซี้ จะไม่มีผัวนี้ไม่ดีหรือ”
อย่างไรก็ดี ฤษีหนุ่มผู้ไม่ทันชั้นเชิงสตรีก็ต้องเสน่ห์นางสุลาลีวันตามแผนการของนางละเวง สุดสาครพยายามถึงเนื้อถึงตัวสุลาลีวัน นางถูกด่าก่อนหน้านี้ก็ถือโอกาสเอาคืนด้วยการบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ ทำประชดประชันด่าทอตัวเอง ทันทีที่สุดสาครรุกเร้าด้วยการ
“เอนแอบแนบน้องประคองหัตถ์ นางป้องปัดผลักพลิกแล้วหลีกหนี
อะไรเล่าเฝ้ากวนทำยวนยี น้อยหรือพี่พูดเลี้ยวมาเกี้ยวน้อง
กระหม่อมฉันมันตอแหลกระแตวับ อย่ามาจับต้องตัวจะมัวหมอง”
‘ตอแหลกระแตวับ’ เป็นสำนวนหมายความว่า หน้าไม่อายทั้งการพูดและการกระทำ พูดและทำอะไรไร้ยางอาย
รุ่งเช้าหัสไชยซึ่งพระอภัยรั้งตัวไว้ให้พักห้องเดียวกัน พอตื่นขึ้นก็รีบตามหาสุดสาคร กลัวจะเสียทีลูกเลี้ยงนางละเวง และเป็นดังคาด หัสไชยเดินหาพี่ชายไปถึงห้องนางสุลาลีวัน พบนางกำนัลหน้าห้องก็ถามถึงสุดสาคร ได้คำตอบว่ายังไม่ตื่น จึงเข้าไปแอบมองดู พยายามปลุกพี่ชายจนรู้สึกตัว สุดสาครบอกน้องว่าไม้เท้าพระเจ้าตาหายไป สู้ฤทธิ์ผีไม่ได้ นางสุลาลีวันเกรงว่าหัสไชยจะช่วยพี่ชาย จึงทำให้สุดสาครที่เพิ่งได้สติคืนมาเพียงชั่วครู่งวยงงหลงใหลไปอีก
“๏ หน่อกษัตริย์หัสไชยเห็นใหลหลง กำสรดทรงสร้อยเศร้านั่งเหงาหงิม
แค้นฝรั่งช่างไม่อายทำพรายพริ้ม เข้านั่งริมผัวแอบไว้แนบเนื้อ
นึกด่าทอตอแหลชอบแต่ตบ ไม่เคยพบหน้าเป็นทะเล้นเหลือ
ชะเช่นนี้มีมีดจะกรีดเนื้อ ให้ทานเสือเสียจนสิ้นลิ้นลังกา” (= พูดพล่อยๆ จนไม่น่าเชื่อถือ)
ตัวละคร ‘สังฆราชบาทหลวง’ ที่ถูกลูกศิษย์สาวหลอกว่าทำสงครามเพื่อแก้แค้นให้อดีตเจ้าเมืองลงกา แต่แท้จริงทำเพื่อชิงผัวของคนอื่น เมื่อรู้ความจริงก็ถึงกับรากเลือดด้วยความแค้นใจ เจ็บเจียนตายอยู่หลายเดือน
อาการทางกายทุเลา แต่อาการทางใจยังไม่บรรเทา วันหนึ่งถึงเวลาชำระแค้น เป็นตายอย่างไรต้องไปด่านางละเวงให้ได้ สู้บากบั่นเดินทางสามวันสามคืนถึงลงกา และรู้จากชาวเมืองว่านางละเวงวัณฬา นางพระยาผู้ครองเมืองจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ด้วยการบูชายัญที่ศาล
บาทหลวงรู้ทันทีว่า คือ พิธีพลีโลกา คนท้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ จึงนั่งคอยอยู่ที่ศาลาตรงประตูกลาง
เมื่อขบวนเสด็จมาถึง สังฆราชบาทหลวงเห็นเต็มสองตาว่าบรรดาลูกศิษย์ตั้งแต่นางละเวงวัณฬา นางรำภาสะหรี นางยุพาผกา ไปจนถึงนางสุลาลีวันล้วนอุ้มท้องกันทั่วหน้าและมาพร้อมกับคู่เตรียมทำพิธี ภาพเบื้องหน้ากระทบใจทำให้ต่อมโทสะระเบิด รีบเดินมาขวางหน้านางละเวง และด่าสาดเสียเทเสีย
“๏ พลางเดินมาหน้าประตูร้องอุเหม่ อีเจ้าเล่ห์ลวงกูไม่รู้ถึง
กูเจ็บแค้นแทนด้วยจึงช่วยมึง เพราะคิดถึงคุณท้าวเจ้าลังกา
ยังลวงหลอกกลอกกลับไปรับชู้ มาเป็นคู่หลู่ขาดพระศาสนา
มึงผ่าเหล่าเผ่าพันธุ์อีวัณฬา คบขี้ข้าเข้ามาเลี้ยงไว้เคียงตัว
อีลาลีอีผการำภาสะหรี ล้วนตัวดียอดรักช่วยชักผัว
หาให้เจ้าเอาเองไม่เกรงกลัว แต่ล้วนตัวตอแหลกระแตวับ
มึงลวงกูรู้กันทำผันผ่อน เหมือนหนึ่งหนอนบ่อนไส้กินไตตับ
จนด่านแตกแยกย้ายล้มตายยับ เพราะมึงกลับกลายแกล้งไปแปลงความ
จนฝรั่งลังกาเป็นข้าเขา เพราะมึงเข้าเพศภาษาสยาม
เป็นเมียน้อยช้อยชดช่างงดงาม เมียหลวงตามเข้ามาหึงถึงประตู
กูรักใคร่ให้วิชาสารพัด ไม่ซื่อสัตย์ซ้ำปดให้อดสู
แกล้งคิดอ่านพาลโกรธยกโทษกู เมื่อจืดแล้วจึงจะรู้จักคุณเกลือ
จงเร่งมาฆ่ากูจะสู้ม้วย ให้ตายด้วยพี่พ่ออย่าหลอเหลือ
กูแค้นนักจักเชือดเอาเลือดเนื้อ อีลูกเสือลูกจระเข้เนรคุณ ฯ”
นางละเวงพยายามอธิบายเหตุผล ครูดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง เมื่อถูกสามนางเถียงฉอดๆ ว่าท่านนั่นแหละเป็นต้นเหตุ ยกทัพออกไปช่วยแก้ก็แพ้พ่าย “เช่นนั้นอายหรือไม่เล่าพระเจ้าข้า ที่ด่านเขาเจ้าประจัญคุณสัญญา ให้เข่นฆ่าแล้วเป็นไรจึงไม่ตาย” ทำเอาสังฆราชบาทหลวงด่าเป็นชุดหยุดไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปนางละเวงและสามสาวพากันไปขอขมา วอนขอให้สังฆราชบาทหลวงอภัยทุกสิ่งที่ได้ทำไป ถึงจะทอดระยะมานาน ความโกรธของครูเฒ่ายังไม่เบาบาง ดังที่สี่นางต้องเผชิญพายุอารมณ์กันทั่วถึง
“๏ บาทหลวงแก่แลเห็นเขม้นมุ่ง โมโหฟุ้งร่ำด่าไม่ปราศรัย
อีตอแหลแร่ออกมาหากูไย กูมิได้ปรารถนาคบค้ามึง
ทั้งเจ้าข้าหน้าสดปดเป็นครอก มีแต่หลอกลวงกูไม่รู้ถึง
ไปรับตัวผัวเขามาเคล้าคลึง เมียเขาหึงโรมโรมเหมือนโหมโรง
อียุพาลาลีอีตอแหล ไม่ทันแก่จะเป็นม่ายอีตายโหง
ช่างชักสื่อหาผัวอีตัวโกง จนท้องโป่งป่องหยอดยอดตำแย ฯ”
ทางเดียวที่นางละเวงทำได้เวลานี้คือยอมรับผิดโดยดี
“๏ นางวัณฬาสารภาพกราบบาทหลวง ฉันทั้งปวงผิดหมดปดตอแหล
รู้สึกในใจตัวว่าชั่วแท้ สุดแล้วแต่เจ้าคุณกรุณา”
คำว่า ‘ตอแหล’ ที่ใช้กันปัจจุบันนี้ ความหมายที่รู้ๆ กันอยู่ก็แค่พูดเท็จ พูดปั้นเรื่อง ที่จริงนั้นมีความหมายมากไปกว่าคำพูดที่ปราศจากความจริง หมายถึง พูดจากลับกลอกเชื่อถือไม่ได้ ไม่ซื่อสัตย์ เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย โกหกหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร้ยางอายไร้ศีลธรรมทั้งการกระทำและคำพูดเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของฝ่ายตนเป็นสำคัญ เป็นคำด่าที่อยู่ยงคงกระพันคู่กับกิเลสของคน ใช้ได้ไม่จำกัดเพศทั้งหญิงและชาย
นอกจากพฤติกรรมของตัวละครข้างต้นจะเป็นตัวบ่งบอกความหมายของคำนี้ ลองอ่านนิยามความหมายที่ “อักขราภิธานศรับท์” ของหมอบรัดเลย์ สมัยรัชกาลที่ 5 ให้ไว้ จะเห็นได้ว่าครอบคลุมดีแท้
“ตอแหล, เปนชื่อพูจคำเท็จ, พูจปด, พูดมุสา, พูดโกหก, พูดสับปลับ, เช่นพวกคนโกงนั้น” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022