สำรวจศักยภาพคนไทยและนวัตกรรมระดับโลก : การเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ตอนที่ 4 Cornell มหาวิทยาลัยเงียบๆ ที่ทรงพลังในด้านไทยศึกษา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

สำรวจศักยภาพคนไทยและนวัตกรรมระดับโลก

: การเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ตอนที่ 4

Cornell มหาวิทยาลัยเงียบๆ

ที่ทรงพลังในด้านไทยศึกษา

 

การขับรถจาก Yale ไปยัง Cornell ใช้เวลาราวห้าชั่วโมง ลัดเลาะผ่านเนินเขา แม่น้ำ และป่าไม้ของนิวยอร์กตอนบน ปลายทางคือเมืองอิธากา เมืองมหาวิทยาลัยเล็กๆ ริมทะเลสาบเคยูกา (Cayuga Lake) ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบ สำหรับคนที่ไม่เคยไป อาจสงสัยว่าทำไมมหาวิทยาลัยระดับโลกถึงตั้งอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่เมื่อได้สัมผัสจริงๆ จะเข้าใจว่า ความเงียบและธรรมชาติรอบตัวนี่แหละคือเสน่ห์ที่แท้จริงของที่นี่

Cornell University ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1865 โดย Ezra Cornell และ Andrew Dickson White ด้วยวิสัยทัศน์ที่ล้ำยุคในสมัยนั้นว่า “I would found an institution where any person can find instruction in any study.” – “ข้าจะก่อตั้งสถาบันที่ใครก็ตามสามารถเรียนรู้อะไรก็ได้”

ในแง่ของขนาด พื้นที่หลักของแคมปัสในอิธากามีราว 745 เอเคอร์ หรือประมาณ 1,884 ไร่ หากรวมพื้นที่ทั้งหมดที่มหาวิทยาลัยถือครองในเมืองนี้ จะขยายออกไปถึงกว่า 2,300 เอเคอร์ หรือราว 5,817 ไร่ และนี่ยังไม่รวมแคมปัสอื่นๆ เช่น Cornell Tech ในนิวยอร์กซิตี้ และ Weill Cornell Medicine ในโดฮา ประเทศกาตาร์ สะท้อนว่า Cornell มิใช่เพียง “มหาวิทยาลัยในป่าเขา” แต่คือสถาบันที่มีอิทธิพลระดับโลก

ทริปเยือน Cornell ครั้งนี้ ผมไม่ได้ประทับใจแค่กับภูมิทัศน์อันสวยงาม หรือชื่อเสียงในคณะเด่นอย่างเกษตรกรรม เทคโนโลยี สถาปัตยกรรม เศรษฐศาสตร์ หรือการโรงแรม แต่สิ่งที่ประทับใจยิ่งกว่าคือ “มรดกเงียบ” ของ Cornell ในด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา โดยเฉพาะ “ไทยศึกษา”

ตั้งแต่ทศวรรษ 1950s Cornell คือหนึ่งในมหาวิทยาลัยอเมริกันแห่งแรกที่ให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง โครงการ Southeast Asia Program (SEAP) ที่นี่ถือเป็นหนึ่งในโครงการวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลก นักวิจัยของ Cornell ไม่ได้มองประเทศไทยจากระยะไกล หากแต่ลงพื้นที่จริงในจังหวัดต่างๆ เช่น เพชรบุรี เพื่อศึกษาทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาชนบท ไปจนถึงโครงสร้างการเมืองท้องถิ่นแบบ “บ้านใหญ่” ที่เรารู้จักกันดี

ไม่แปลกใจเลยว่า คำถามเกี่ยวกับการเมืองไทยที่ผมได้รับจากเวทีใน Cornell จึงเป็นคำถามที่ลึกและแหลมคมที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในสหรัฐ หลายคนพูดไทยได้คล่อง เพราะเคยใช้เวลาทำวิจัยภาคสนามในไทยอย่างยาวนาน

ผมมีโอกาสพบอาจารย์ไทยสองท่านที่นี่ – ท่านแรกคือ ศาสตราจารย์ทักษ์ เฉลิมเตียรณ (Thak Chaloemtiarana) หนึ่งในนักวิชาการผู้บุกเบิกวงการไทยศึกษาในสหรัฐ อาจารย์ทักษ์เป็นผู้เขียนหนังสือคลาสสิค Thailand : The Politics of Despotic Paternalism ซึ่งวิเคราะห์ระบอบของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ว่าไม่ใช่แค่เผด็จการธรรมดา แต่เป็น “ระบบพ่อขุนอุปถัมป์แบบเผด็จการ” – การใช้อำนาจเบ็ดเสร็จควบคู่กับวาทกรรมความห่วงใย เพื่อทำให้ประชาชนยอมจำนนต่ออำนาจรัฐ หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงทำให้โลกตะวันตกเข้าใจการเมืองไทยได้ลึกซึ้งขึ้น แต่ยังช่วยให้คนไทยมองเห็นรากวัฒนธรรมอำนาจของตัวเองอย่างมีวิจารณญาณ

หนังสือเล่มนี้มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วในชื่อ การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ จัดพิมพ์โดย มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

อีกท่านคือ ดร.ฟิคริ พิศสุวรรณ (Dr. Fikri Pitsuwan) นักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมคณะเศรษฐศาสตร์ของ Cornell ในฐานะอาจารย์ ดร.ฟิคริเป็นบุตรชายของ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีต รมว.ต่างประเทศและเลขาธิการอาเซียนผู้ล่วงลับ แต่เขาก็สร้างเส้นทางของตนเองในโลกวิชาการอย่างชัดเจน งานวิจัยของเขามุ่งวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมืองเชิงเปรียบเทียบในประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะบทบาทของสถาบันทางการเมืองที่มีผลต่อการเติบโตและความเหลื่อมล้ำ

ดร.ฟิคริเป็นตัวอย่างของนักวิชาการที่มีรากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ใช้สายตาทางเศรษฐศาสตร์เพื่อมองโลก และเชื่อมโยงความรู้เข้ากับนโยบายอย่างมีพลัง

Cornell จึงไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นในศาสตร์ทั่วไป แต่ยังเป็นสะพานสำคัญระหว่างโลกวิชาการอเมริกันกับสังคมไทย – ในมุมที่คนไทยเองอาจคาดไม่ถึง

หนึ่งในคำถามที่ผมถูกถามคือ :

อะไรคือ “ทรัพย์สิน” ที่สำคัญที่สุดของขบวนการประชาธิปไตยไทยในปัจจุบัน?

ผมตอบว่า “the ability to begin anew” – ความสามารถในการเริ่มต้นใหม่

หากอ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงเห็นว่า แม้ เวลา อาจอยู่ข้างเรา แต่ ทุกอย่าง ยังอยู่ข้าง “เขา” – ผู้มีอำนาจ และสิ่งที่ตลกร้ายคือ คนที่นั่งฟังคำตอบของผมในวันนั้น มีคนรุ่นอาจารย์ทักษ์ อาจารย์ธงชัย หรือแม้แต่อาจารย์อเมริกันอีกหลายคน ที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจน เพราะติดตามการเมืองไทยมาตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519

แต่ในบริบทที่มีผู้ฟังจากเมียนมา เวเนซุเอลา และคองโก – ประเทศที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ไม่มีโอกาสตั้งขบวนใหม่หรือเริ่มต้นใหม่เหมือนเรา ผมยิ่งตระหนักว่า แม้ไทยจะเจออุปสรรคมากมาย แต่เรายังมี “ช่อง” ให้เริ่มต้นใหม่ได้จริง ยังมีโอกาสตั้งขบวนใหม่ได้ เลือกตั้งใหม่ได้ และมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเติมพลังประชาธิปไตยทุกปี ในขณะที่ยังมีอีกหลายประเทศไม่มีแม้โอกาสนั้น

แค่ “นิวโหวตเตอร์” ปีละ 800,000 คน – อีกสิบปีก็เท่ากับ 8 ล้านเสียง นี่คือ ทรัพย์สินประชาธิปไตย ที่รอการงอกงาม แต่จะเบ่งบานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพรรคการเมืองจะสามารถเป็นตัวแทนที่แท้จริง ของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้หรือไม่ จะสามารถทำให้พวกเขาใช้สิทธิ์อย่างต่อเนื่องไปอีกสิบปีหรือไม่

คำถามที่สองจากผู้ฟังชาวอเมริกันคือ :

มีบทเรียนใดจากการเมืองไทยที่ใช้กับอเมริกันได้ไหม?

คําถามนี้ฟังดูเหนือความคาดหมาย แต่ทุกวันนี้ ความรู้สึกของคนอเมริกันต่อการเมืองไทย และความเข้าใจของเราต่อการเมืองอเมริกัน ดูจะใกล้กันกว่าที่คิด

ผมตอบว่า – ต่อเนื่องจากคำถามแรก – เราได้เรียนรู้แล้วว่า เราไม่สามารถละเลยคนรุ่นใหม่ แล้วหวังว่าเขาจะโหวตให้เราโดยอัตโนมัติอีกต่อไป ความเชื่อแบบนั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว เราต้องทำงานหนัก เพื่อจะเป็นตัวแทนที่แท้จริงของเขาให้ได้

Voter mobilization และ grassroots engagement ไม่ใช่สิ่งที่ทำแค่ 4-6 เดือนก่อนเลือกตั้งใหญ่ แต่ต้องทำตลอดเวลา และโดยเฉพาะในบริบทของอเมริกา ที่การเลือกตั้งกลางเทอมกำลังจะมาถึง และสมาชิกสภาผู้แทนฯ มีวาระเพียง 2 ปี ก็ต้องเลือกตั้งใหม่แล้ว

ผมนึกในใจว่า หากประเทศไทยเห็นคุณค่าและศักยภาพของมหาวิทยาลัยอย่าง Cornell มากกว่านี้ และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายความรู้เหล่านี้ให้เต็มที่ เราคงพัฒนาได้ไกลกว่านี้อีกมาก – ไม่ใช่แค่ในมิติวิชาการ แต่ในทุกมิติของนโยบายและสังคม

จุดหมายต่อไป : ข้ามประเทศไป Berkeley – อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีบทบาทต่อการเมืองไทยไม่น้อยหน้าใคร ได้ข่าวมาว่ามีวิทยานิพนธ์ของคุณวิษณุ เครืองาม ตอนเป็นนักเรียนที่นั้นด้วย ว่าจะไปค้นห้องสมุดดูครับ