โลกหันขวา กับประชานิยมฝ่ายซ้าย

บทความพิเศษ | ตะวัน มานะกุล

 

โลกหันขวา กับประชานิยมฝ่ายซ้าย

 

ตอนนี้โลกหันขวา

ขวาในที่นี้ก็คือกระแสขวาประชานิยม กระแสที่ว่าผสมผสาน

(1) ยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวแบบประชานิยมที่อ้างอิงว่าสิ่งที่ตนนำเสนอเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงหนึ่งเดียวของประชาชน โดยพร้อมกันนั้นก็ปลุกระดมผู้เห็นต่างในฐานะศัตรู เข้ากับ

(2) การกำหนดเป้าหมายการเมืองแบบขวาจัด ที่มุ่งปฏิปักษ์ลดทอนทางการตีความขยับขยายแนวคิดสิทธิแบบเสรีนิยมที่มุ่งสนับสนุนความเท่าเทียม (egalitarian rights) ในมิติต่างๆ

มิติของสิทธิที่มุ่งต่อต้านการขยายตัวและลดทอน ได้แก่

สิทธิทางสังคม เช่น การขยายหลักสิทธิให้ครอบคลุมประเด็นความหลากหลายทางเพศ สิทธิการทำแท้ง หรือการให้สิทธิพิเศษเพื่อปกป้องชุมชนหรือคนกลุ่มน้อย โดยโจมตีว่าสิทธิเหล่านี้บั่นทอนวัฒนธรรมหลักของชาติที่เคยหล่อหลอมผู้คนไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน

สิทธิทางเศรษฐกิจ เช่น ต่อต้านการขยับขยายสิทธิแรงงาน หรือสวัสดิการรัฐ โดยโจมตีว่าสิทธิเหล่านี้ทำลายเศรษฐกิจทางใดทางหนึ่ง

สิทธิทางศีลธรรม เช่น ต่อต้านการคุ้มครองช่วยเหลือผู้อพยพ หรือคนนอกชาติตน โดยโจมตีว่าปฏิบัติการเหล่านี้สวนทางกับผลประโยชน์แห่งชาติ สะท้อนการละทิ้งผู้คนภายในที่กำลังเดือดร้อน

นอกจากนี้ ยังขวาจัดยังลดทอนสิทธิทางกฎหมายและการเมืองซึ่งเป็นหัวใจแก่นกลางของระบอบเสรีนิยมแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งนี้ก็เพราะเพื่อบรรลุเป้าหมายการจำกัดสิทธิทั้งหมดก่อนหน้า หลายครั้งผู้กล่าวอ้างเป็นตัวแทนประชาชนใช้อำนาจในลักษณะอาญาสิทธิละเมิดกฎหมายและเสรีภาพทางการเมือง

เช่น ตัดงบประมาณ กดดัน ไล่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยออกจากตำแหน่งหรือประเทศ ด่าทอปลุกระดมการโค่นล้มศัตรูทางการเมืองซึ่งได้แก่ผู้ที่เห็นต่างไปจากนี้

ในสายตาของพวกขวาประชานิยมนั้น แนวทางทั่วไปอย่างการลงเลือกตั้ง หาเสียงอย่างเคารพคู่แข่ง รู้แพ้รู้ชนะ มีมารยาททางการเมืองนั้นไร้น้ำยาและเห่ย เพราะเป็นการเล่นตามระบอบเสรีประชาธิปไตยตามมาตรฐานที่แท้จริงแล้วถูกครอบงำโดยชนชั้นนำตั้งมั่น (establishment) ที่ปล่อยปะละเลย หรือแม้กระทั่งให้ความร่วมมือขยับขยายสิทธิข้างต้น

เขาว่าถ้าจะเอาจริงต้องอาศัยผู้นำเด็ดขาด ตรงไปตรงมา บ้าบิ่น พุ่งชนระบบให้รู้แล้วรู้รอด

นับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ไม่เคยมียุคไหนที่ขวาประชานิยมจะท่วมท้นเวทีการเมืองหลักในโลกเช่นทุกวันนี้

ไม่นานนี้โลกก็ได้โดนัลด์ ทรัมป์ มาเป็นหัวหน้าค่าย ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่า “เสรี” ได้อีกต่อไปหรือไม่

ในขณะที่ยุโรปก็ถูกฝ่ายขวาประชานิยมยึดกุมไปทีละประเทศ จะล่าสุดเกิดเป็นหมุดหมายใหม่ เมื่อเสียงขวาประชานิยมที่ว่ากลายเป็นเสียงข้างมากในการประชุม G 7 นับตั้งแต่เคยจัดประชุมกันมา

น่ากลัวนะครับ อย่างน้อยก็ในสามระดับ ระดับแรกก็คือแนวทางการลดทอนสิทธิที่ว่า

ระดับต่อมาก็คือการที่การเมืองแบบประชานิยมมันมีสุ้มเสียงแบบชนเผ่า คือแบ่ง “พวกเขา-พวกเรา” บังคับให้เลือกข้าง แล้วก็พุ่งชนโค่นล้มศัตรูแบบหน้ามืดตามัว ไม่เลือกวิธีการ ไม่สนใจข้อเท็จจริง

เอาเป็นว่าขนาดเครื่องบินชนกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ยังแถลงโดยไม่มีข้อมูลรองรับว่าเป็นเพราะกฎหมายสนับสนุนความเท่าเทียมที่ทำให้ได้คนไม่เก่งมาทำงาน ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือกฎหมายดังกล่าวไม่ได้บังคับใช้ในกิจการการบิน

หรือการใช้อำนาจเนรเทศนักศึกษาปาเลสไตน์ที่เป็นแกนนำประท้วงต่อต้านสงครามของอิสราเอล จนศาลนิวยอร์กต้องวิ่งเข้าแทรกแซงคำสั่งประธานาธิบดีว่าน่าจะผิดกฎหมาย

ระดับที่สามคือสุดท้ายการเมืองแบบขวาจัดนี้ก็นำไปสู่การทำร้ายทุกฝ่าย รวมถึงหมู่คนผู้สนับสนุนเอง เพราะไอ้สิทธิที่โดนบดทอนไปมันก็คือสิทธิเดียวกับที่ปกป้องประชาชนในขบวนการฝ่ายขวาอยู่ด้วย

ในอดีตระบอบนาซีก็กระชับอำนาจด้วยการหันมาไล่าล่ากำจัดพันธมิตรหลังตัวเองเริ่มเติบโตมั่นคง หรือในสมัยทรัมป์เองก็มีการหันมาเล่นงานปลดข้าราชการที่สนับสนุนและเคยทำงานเป็นมือเป็นเท้าให้ตนแล้ว

 

ท่ามกลางกระแสขวาหันที่ว่า หลายคนนิยามทิศทางโลกหลังจากนี้ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยจากโรคร้ายประชานิยมที่ว่า

เท่าที่ผมเข้าใจ ทิศทางดังกล่าวคือสิ่งที่คนอย่างอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายาม และตั้งใจสื่อเมื่อครั้งเขาประกาศภารกิจปกป้อง “วิญญาณแห่งชาติอเมริกา”

แต่ก็ดูจะล้มเหลวเมื่อทรัมป์กลับมาผงาดอีกครั้ง

ดาเนียล ร็อดดริกส์ นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชื่อดังจากรั้วฮาร์วาร์ดเคยนำเสนองานวิจัยที่ดูเป็นทำนายเรื่องทำนองนี้

ร็อดดริกส์เล่าไว้ตั้งแต่เจ็ดปีก่อนนั้น เมื่อมหาวิทยาลัยผมเชิญแกมาสัมมนานำเสนองาน ว่ากระแสประชานิยมนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่โรคร้ายที่ผลุดโผล่ขึ้นมาจากนรก

ข้อมูลล้วนชี้ชัดวาอาการนี้มันมีที่มา

แท้จริงแล้วประชานิยมมีต้นตอนมาจากปรากฏการณ์ที่ผู้คนจำนวนมากและน่าจะเป็นส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้งและมีชีวิตที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในทางความรู้สึกและข้อเท็จจริง

ในอเมริกา ข้อมูลที่มักนำมายืนยันปรากฏการณ์นี้คือการที่การที่ชนชั้นกลางทยอยไม่สามารถรักษาสถานะทางเศรษฐกิจสังคมไว้ได้ ต่อให้ใช้ชีวิตไม่ฟุ่มเฟือยและต่อให้ทำงานสองงานต่อวัน

ในไทยเองผมเชื่อว่าถ้าศึกษาก็คงมีอะไรทำนองนี้ อย่างน้อยก็ในกลุ่มชนชั้นกลางระดับล่างลงไปได้ (รับค่าแรงขั้นต่ำสองงานต่อวัน สิบปียังไม่น่าซื้อบ้านได้ อย่าเพิ่งพูดถึงความสะสมความมั่งคั่ง)

แต่พอพวกเขาเงยหน้าขึ้นไป กลับเห็นคนกลุ่มน้อยรวยขึ้น และรวยเอารวยเอา ส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลานสะสมเพิ่มต่อเนื่องจนเกิดเป็นช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

หนักกว่านั้น ร็อดดริกส์เห็นว่าปรากฏการณ์ใหญ่ที่ซ้ำเติมทุกอย่างไปอีกขั้นคือกระแสโลกาภิวัตน์ที่เชื่อมเศรษฐกิจทั้งโลกไว้ด้วยกันที่พัดพาส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจไม่ได้จำกัดไว้ที่คนรวยสุดในประเทศ แต่ไปจบที่ชนชั้นเกิดใหม่อันได้แก่นายทุนระดับโลกที่รวยจนเกินจินตนาการ

ภายใต้ภาวะนี้ เป็นใครก็อดตั้งคำถามไม่ได้ หากไม่หมั่นไส้ ก็คับแค้นไปแล้ว

แล้วประชานิยมแบบทำนองทรัมพ์ก็โผล่เข้ามา ทพนองเดียวกับที่สังคมนิยมเคยเป็นความหวังของผู้คนในอดีต

ขวาจัดอธิบายปัญหาอย่างชัดเจนว่าใช่! ทั้งหมดเกิดจากศัตรูอันได้แก่เหล่าชนชั้นนำตั้งมั่นที่ยึดกุมระบอบเสรีประชาธิปไตยหรือเศรษฐกิจทุกวันนี้

ที่ขยับขยายสิทธิสวนทางผลประโยชน์ประชาชน โดยเฉพาะ (ในบริบทตะวันตก) ไปถ่ายเทผลประโยชน์ทสิทธิทางสงเศรษฐกิจไปให้ผู้อพยพที่เข้ามาแย่งงานหรือไปช่วยต่างประเทศทั้งที่ตัวเองยังไม่รอด

และเราต้องโค่นล้มมัน

ในสภาวะการณ์เช่นนี้ จะให้ไปสะกิดคนแล้วบอกว่าถูกหลอกก็ไม่มีใครเชื่อเพราะความขุ่นเคืองมีจริง คนกำลังเดือด หาที่ระบายมานานแล้ว

ยังไม่นับว่าที่จริงแล้วเรื่องที่ฝ่ายขวาเล่ามามันจริงอยู่ครึ่งนึง

คือชีวิตของคนจำนวนมากเล่นจริง ลำบากจริง ส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจก็ถูกถ่ายสู่ใครสักคนข้างบนยอดปิรามิดอย่างต่อเนื่อง และเสรีนิยมไร้น้ำยาในการจัดการหากไม่ได้ถูกยึดไปแล้ว

รวมถึงถูกอีกว่าการจะเคลื่อนระบอบตั้งมั่นที่ว่าก็อาจต้องใช้การพุ่งชนแบบประชานิยม เพื่อแก้ต้นตอปัญหา เราจำเป็นจะต้องรวมพลัง อ้างอิงเสียงประขาชน เข้าสะสางระบอบครั้งใหญ่ ปลุกระดมการเมืองแบบหนักแน่น ทรงพลัง รุนแรง ไต่เส้น พร้อมอัดกับขั้วตรงข้าม ทำนองประธานาธิบดีแฟลงคลิน ดี รูสเวลท์ที่พุ่งชนใส่ศาลสูงฯ ผลักแนวโน้มอเมริกาสู่รัฐสวัสดิการในอดีต

เพียงแต่ต้องตั้งเป้าหมายให้ถูกทิศ

ที่ผิดก็แค่ที่ว่าฝ่ายขวาชี้ปัญหาไปที่การตีความขยายสิทธิ

แทนที่จะชี้ไปที่ปัญหาที่แท้จริง อันได้แก่การที่ระบอบสิทธิแบบเสสีนิยมคลาสสิกดั้งเดิมนั้นไม่พอรองรับ สนับสนุนผลประโยชน์ของคนข้างล่าง ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน คนอพยพ หรือคนกลุ่มน้อย

และบิดเบือนข้อเท็จจริงหักมุมที่ว่าผู้ขัดขวางการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่คนนอก แต่คือกลุ่มทุนจำนวนมากที่เข้าไปมีอิทธิพลในระบอบรัฐ ซึ่งผู้นำฝ่ายขวาประชานิยมมักอยู่ในนั้นด้วย

หากใครเชื่อตามนี้ก็ถือว่าเป็นประชานิยมฝ่ายซ้าย

ร็อดดริกส์สรุปจากข้อมูลว่าทั้งประชานิยมฝ่ายซ้ายและขวาต่างมีช่วงจังหวะกระแสสูงของตัวเอง

ฝ่ายขวามักทรงพลังเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีและเกิดวิกฤติเรื่องผู้อพยพ

ส่วนฝ่ายซ้ายจะมาเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตก

ซึ่งข้อมูลนี้ก็เข้าใจได้ เพราะในช่วงเวลาเช่นนั้น คนจะเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาไม่ได้มาจากพม่าแย่งงาน แต่มาจากการที่ระบอบการเมืองเอื้อผลประโยชน์และมุ่งปกป้องชนชั้นนำทางเศรษฐกิจอย่างไม่ลืมหูลืมตา