รวมไฮไลต์ศึกซักฟอก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ‘ยุทธการโรยเกลือ’ เขย่า ครม. กูรูการเมืองตัดเกรด ‘ไม่ว้าว’

บทความในประเทศ

 

รวมไฮไลต์ศึกซักฟอก ‘อุ๊งอิ๊ง’

‘ยุทธการโรยเกลือ’ เขย่า ครม.

กูรูการเมืองตัดเกรด ‘ไม่ว้าว’

 

ประเด็นร้อนทางการเมืองตลอดสัปดาห์ ย่อมหนีไม่พ้นญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม และลงมติในวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา โดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดย ‘หัวหน้าเท้ง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำทัพขุนพล ส.ส.พรรคประชาชน และพรรคร่วมฝ่ายค้านกว่า 30 คน ล็อกเป้าชำแหละ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ ชูคอนเซ็ปต์หัวข้อ “ดีลแลกประเทศ”

ซึ่งตลอดระยะเวลา 28 ชั่วโมงที่พรรคฝ่ายค้านได้รับจัดสรรเวลามานั้น ส.ส.พรรคฝ่ายค้านได้สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นอภิปราย มุ่งชี้ให้เห็นถึงการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีที่ล้มเหลวผิดพลาดหลายประเด็น

ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ ความสามารถ จงใจอยู่เหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

รวมทั้งสมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำชักใยให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด มีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจใดๆ

และแม้ว่าท้ายที่สุด หลังเสร็จสิ้นการอภิปราย ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จำนวน 319 เสียง ลงคะแนนโหวตไว้วางใจให้ ‘นายกฯ อิ๊งค์’ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป

แต่ทว่า ต้องยอมรับว่าเนื้อหาที่ฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นซักฟอก ‘นายกฯ อิ๊งค์’ นั้น บางเรื่องก็ต้องยอมรับว่ามีความเข้มข้น ดุเดือด สมการรอคอยแบบที่ฝ่ายค้านได้โฆษณาเอาไว้จริง

นอกจากนี้ ยังมีสีสันและมิติใหม่ทางการเมือง เมื่อ ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลุกขึ้นอภิปรายนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าประเทศชาติไม่ใช่เวทีของมือสมัครเล่น

ส่วนไฮไลต์ของสาระอภิปรายครั้งนี้ ต้องยอมรับว่า ภาพรวมทั้ง 2 วัน เนื้อหามีความครอบคลุมทั้งมิติด้านการเมือง กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ส่วนที่ดูเข้มข้นและดุเดือดสมการรอคอย มีด้วยกันหลากหลายประเด็น

 

ยกตัวอย่าง การอภิปรายในวันแรกที่ดุเดือดสุด คงต้องยกให้เรื่องของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ด้วยลีลาและน้ำเสียงที่ดุดัน ประกอบกับเนื้อหาสาระที่เข้มข้น ทำให้การอภิปรายน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่า มีการทำนิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มาตั้งแต่ปี 2559

โดยเปิดข้อมูลว่า นายกฯ มีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลีกเลี่ยงภาษี รับให้มาตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เมื่อไปดูบัญชีทรัพย์สิน พบว่านายกรัฐมนตรีมีหนี้ 9 รายการ เป็นเอกสาร 9 แผ่นกระดาษ

วิธีการที่นายกรัฐมนตรีใช้ แวดวงธุรกิจเรียกกันว่าตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อ โดยซื้อหุ้นกับพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อเชื่อ แล้วออกตั๋ว PN เพียงเท่านั้น ไม่ได้ซื้อขายจริง

การออกตั๋ว PN เป็นการซื้อเชื่อรายคนให้กับญาติ โดยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการซื้อปลอม ทำให้คนในครอบครัว คนในกงสี ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาแม้แต่บาทเดียว นายกรัฐมนตรีและญาติก็ไม่ต้องจ่ายภาษีอะไร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม

หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7 ล้านบาท

 

ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งใช้เวลาอภิปรายนานเกือบ 2 ชั่วโมง พุ่งเป้ากรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

โดยนายรังสิมันต์ระบุว่า พยานหลักฐานสำคัญที่สามารถยืนยันได้ว่ากรณีชั้น 14 ลวงโลกอย่างไร ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตอนแรกเป็นแค่ประจักษ์พยาน แต่ต่อมานายกฯ กลายเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่มีโทษฐานที่รุนแรง ท้ายที่สุดคือขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี

ช่วงหนึ่งของการอภิปราย นายรังสิมันต์ระบุว่า วันที่น้องสาวของตัวเองเป็นนายกฯ นายทักษิณยังกลับมาไม่ได้ ดังนั้น การกลับมาเป็นเพราะดีลที่ น.ส.แพทองธารไปทำมาหรือไม่ เพราะดีลลังกาวีหรือไม่ มีบิ๊กสีอะไรหรือไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง จึงทำให้นายใหญ่มั่นใจว่าครั้งนี้กลับมาประเทศไทยได้

“ไอ้โม่ง 2 ตัว ใจดี ลด แลก แจก แถมด้วยการให้บิดาของ น.ส.แพองธาร ออกจากเรือนจำ เพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนเป็นคำโกหก ไม่มีความหมายอีกแล้ว เพราะวันนี้พ่อได้กลับบ้านแล้ว”

“นี่คือดีลแลกประเทศ ที่นายกฯ สมคบให้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว จุดเริ่มต้นของชั้น 14 มันจึงเป็น ‘ดีลปีศาจ’ เพื่อพาพ่อกลับบ้าน”

 

ขณะที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายพุ่งเป้าประเด็นปัญหาอาชญากรรม สแกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมองว่าเป็นเพียงภาพลวงตา ผักชีโรยหน้า นายกฯ จงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและพวกพ้อง จงใจปล่อยให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ

ฟาก น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายหัวข้อการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ว่า นายกฯ ไม่เก่งจริง ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ บริหารงานล้มเหลวจนเศรษฐกิจพัง เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า เลวร้ายที่สุดในรอบ 10 ปี บริหารเศรษฐกิจท่าไหนทำให้คนกลับไปนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ และนายกฯ ไม่สามารถให้ทิศทางการแก้ปัญหากับรัฐมนตรีได้ ไม่มีความสนใจต่อการแก้ปัญหา และไม่มีน้ำยาพอที่จะประสานงานรัฐมนตรีต่างพรรคให้ทำงานได้

ส่วนประเด็นปิดท้ายที่ทำเอาสภาถึงกับร้อนระอุ เมื่อนายชยพล สท้อนดี ส.ส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายแฉปฏิบัติการ IO โดยอภิปรายว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการเป็นนั่งร้านให้แก่กลุ่มคนที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้บิดากลับมามีอำนาจเหมือนอภิสิทธิ์ชน ทรยศประชาชน หันไปสยบยอมอำนาจนิยม ทิ้งการปฏิรูปกองทัพ ปล่อยให้ทหารบางกลุ่มใช้กลไกของรัฐเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง และปลุกปั่นสร้างความแตกแยก เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย

หนึ่งในกระบวนการที่ทำให้อำนาจของกองทัพอยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน คือการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) สร้างกระแสและความเชื่อผิดๆ รวมถึงความเกลียดชัง เพื่อทำลายคู่ขัดแย้งทางการเมือง

 

อย่างไรก็ดี การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ บรรดานักวิชาการ กูรูทางการเมือง ต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์ และตัดเกรดให้คะแนนฝ่ายค้านกันพอสมควร โดยส่วนใหญ่ยังมองว่าศึกซักฟอกครั้งนี้ของฝ่ายค้าน ยังไม่ถึงกับว้าวหรือเพอร์เฟ็กต์

เนื่องจากข้อมูลบางเรื่องไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่เห็นหมัดน็อกหมัดเด็ดอะไร ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเก่าที่คล้ายกับกระทู้ถามสดทั่วไป หรือบางประเด็นข้อมูลยังไม่แน่นพอ

ฉะนั้น แม้ว่าศึกซักฟอกครั้งนี้จะจบลงแล้วและไม่มีผลต่อการเปลี่ยนตัวนายกฯ

หลังจากนี้คงต้องจับตาดูว่า “ยุทธการโรยเกลือ” ที่ฝ่ายค้านเกริ่นไว้นั้น จะสะเทือนและสร้างแรงกระเพื่อมต่อรัฐบาล “นายกฯ อิ๊งค์” ได้มากน้อยเพียงใด