อำนาจซ้อนเหนือระบอบประชาธิปไตย ยังดำรงอยู่ แม้ไม่มีคณะรัฐประหาร

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ

 

อำนาจซ้อนเหนือระบอบประชาธิปไตย

ยังดำรงอยู่

แม้ไม่มีคณะรัฐประหาร

 

ทำไมต้องมี ส.ว.

ในระบอบประชาธิปไตยไทย

ตลอด 90 ปีของการพยายามเดินบนเส้นทางประชาธิปไตยไทย ถ้าวิเคราะห์ในเชิงอำนาจการเมืองจะเห็นว่าการรัฐประหารและการมี ส.ว. กลายเป็นช่องทางให้กลุ่มอำนาจเก่า มีเวทีทางการเมือง

ส่วนฝ่ายประชาชนก็มี ส.ส. ความขัดแย้ง เปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ได้ไม่ต้องชิงอำนาจกันถึงตาย แต่ฝ่ายประชาชนต้องยอมถอยไปสู้ในกติกาที่เสียเปรียบ

เมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น อำนาจเหนือระบอบประชาธิปไตยก็จะปรากฏเป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างเปิดเผย อำนาจอธิปไตยที่เป็นของฝ่ายประชาชนจะหายไป

เมื่อประชาชนไม่พอใจมากขึ้น ผู้ปกครองก็ต้องปรับเปลี่ยนการปกครองให้คล้ายระบอบประชาธิปไตยโดยตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นมา มีรัฐธรรมนูญที่ร่างเอง มี ส.ว.ที่แต่งตั้ง มาประกบกับ ส.ส.ที่เลือกตั้งโดยประชาชน

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 การมี ส.ว.จึงเป็นเรื่องปกติ และส่วนใหญ่มาจากการแต่งตั้งของผู้มีอำนาจ เพื่อเป็นกลไกค้ำอำนาจรัฐ

หลังรัฐประหาร 2520 ของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มีรัฐธรรมนูญ 2521 ให้มี ส.ว.แต่งตั้ง 3 ใน 4 ของ ส.ส. แถมให้ทหารประจำการมาเป็น ส.ว.ได้

หลังรัฐประหาร 2534 ของ รสช. รัฐธรรมนูญ 2534 ให้มี ส.ว.แต่งตั้ง 2 ใน 3 ของ ส.ส.

ช่วงประชาธิปไตยเบ่งบาน รัฐธรรมนูญ 2540 ให้มี ส.ว. 150 คน (มี ส.ส. 500) จากการเลือกของประชาชนโดยตรง มีการเลือกจริง ปี 2543 และ 2549 (แต่ครั้งหลังนี้ เป็นได้ไม่กี่เดือนก็ถูกรัฐประหาร)

ช่วงที่อำนาจเหนือระบอบประชาธิปไตย

 

อยู่ได้ยาวนานที่สุด

คือ 2549-ปัจจุบัน

ในช่วงหลังนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อำนาจเหนือระบอบประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแม้ไม่ได้ใช้กำลังทหารก็คือ การใช้กฎหมายผ่านองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรรมการองค์กรอิสระ และ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องได้รับการโหวตเสียงยอมรับจาก ส.ว.จึงจะมีสิทธิ์เข้ามารับตำแหน่งได้

หลังรัฐประหาร 2549 รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะอยู่หรือไปก็โดยการพิจารณาขององค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. หรือ กกต. และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือชัยชนะจากการเลือกตั้งปี 2550 ไม่ได้ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งมีอำนาจได้อย่างสมบูรณ์ สุดท้ายก็ถูกตุลาการภิวัฒน์ปลายปี 2551

แม้ต่อมาจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 2554 รัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถูกปลดโดยศาลรัฐธรรมนูญ และถูกรัฐประหารในปี 2557

หลังรัฐประหาร 2557 พวกที่อยู่เหนือระบอบประชาธิปไตยจึงได้สร้างรัฐธรรมนูญ 2560 ให้มี ส.ว.แต่งตั้งตามบทเฉพาะกาล 250 คน แถมยังมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่ต้องพูดถึงกรรมการองค์กรอิสระซึ่ง ส.ว.เป็นคนเลือกว่าจะเอาใครหรือไม่เอาใคร

ดังนั้น อำนาจในการชี้ชะตาให้รัฐบาลอยู่หรือไปก็ยังตกอยู่ในมือของกลุ่มที่อยู่เหนือระบอบประชาธิปไตยอยู่ดี

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมาจากการรัฐประหารเป็นคนแต่งตั้ง ส.ว.เหล่านี้จึงได้รับการสนับสนุน ดังนั้น แปลงกายมาเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งปี 2562 ก็ยังมี ส.ว.เหล่านี้เป็นคนช่วยเหลือในการสร้างความเข้มแข็งทั้งในฝ่ายนิติบัญญัติและในฝ่ายบริหาร และยังมีอิทธิพลต่อระบบยุติธรรม

 

อำนาจของ ส.ว.ฮั้ว ไม่ต่างจาก ส.ว.แต่งตั้ง

เมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2566 ส.ว. 250 คนก็ยังเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินว่าใครจะได้เป็นนายกฯ ไม่ใช่ ส.ส.ที่มาจากการเลือกของประชาชน และเมื่อ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนหมดอำนาจลง ก็มีความหวังกันว่า ส.ว.ที่เกิดจากการเลือกกันเองระบบใหม่จะช่วยให้เราก้าวข้ามพวกที่อยู่เหนือประชาธิปไตยไปได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเรามี ส.ว.ระบบฮั้ว ขึ้นมาแทนที่

และตอนนี้ก็ชัดเจนว่า มี ส.ว.กลุ่มใหญ่ที่กลายเป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษนิยม และพรรคการเมืองบางพรรคไปแล้ว การลงมติเพื่อผ่านกฎหมาย หรือเพื่อยับยั้งหรือการเลือกกรรมการ เป็นไปตามที่ผู้จัด ฮั้ว ต้องการ

อำนาจหน้าที่ตามปกติ คือการกลั่นกรองและตรวจสอบกฎหมายที่ผ่านมาจากสภาผู้แทนราษฎร เช่น กฎหมายประชามติ

แต่ที่ล้นเกิน คือ ถ้าไม่มี ส.ว. 1 ใน 3 สนับสนุน จะแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ และนี่จึงเป็นเหตุให้รัฐธรรมนูญ 2560 อยู่ต่อไปอีกนาน

และที่กำลังเป็นปัญหาคือ ส.ว.ชุดนี้ก็จะเป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

เลือกกรรมการองค์กรอิสระได้จนครบวาระ คือ กกต. 7 คน ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน ป.ป.ช. 9 คน ก.ส.ม. 7 คน ค.ต.ง. 7 คน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (แม้ไม่ทั้งหมด แต่ก็เป็นส่วนใหญ่)

ใครจะเป็นกรรมการองค์กรอิสระ แม้ผ่านการสรรหามาแล้ว ก็ต้องผ่านความเห็นชอบของ ส.ว. ถ้า ส.ว.ไม่เอา ก็คือสอบตก

และ ส.ว.ยังมีหน้าที่ให้ความเห็นชอบการดำรงตำแหน่งที่สำคัญอื่นๆ อีก เช่น เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, กรรมการ กสทช., เลขาธิการ ป.ป.ท. ฯลฯ

สรุปว่า ส.ส.ที่ประชาชนทั้งประเทศเลือกมา ไม่มีอำนาจเท่ากับ ส.ว.ที่ประชาชนไม่ได้เลือก

อำนาจที่หอมหวานนี้ สามารถหักล้างมติของประชาชนทั้งประเทศได้ สามารถตรวจสอบ ควบคุม คัดเลือกและถอดถอนฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร กรรมการองค์กรต่างๆ ได้ จึงมีผลต่อระบบยุติธรรม และรัฐบาล

 

ส.ว.ชุดใหม่ยิ่งอยู่นาน

ได้เลือกกรรมการองค์กรอิสระหลายคน

ส.ว.ชุด 2567 มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี จะปฏิบัติหน้าที่ไปถึงเดือนกรกฎาคม 2572 และจะได้เลือกผู้ที่มาดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระจำนวนมาก

1. เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ 7 คน จาก 9 คน ที่ผ่านมาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ครบวาระ 9 ปีเดือนพฤศจิกายน 2567 กรรมการสรรหาเสนอชื่อ 2 คน 18 มีนาคม 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติไม่เห็นชอบ ทำให้ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี และชาตรี อรรจนานันท์ ไม่ผ่าน ต้องสรรหามาใหม่

ยังมีตุลาการอีก 4 คนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนเมษายน 2570 และมีตุลาการอีกหนึ่งคนจะหมดวาระในเดือนสิงหาคม 2570 ส.ว.ชุดนี้ยังต้องเลือกอีก 5 คน

2. เลือกคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) 6 คน เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 แต่ที่ประชุม ส.ว.ลงมติให้ความเห็นชอบแค่ 4 คน ขณะที่อีก 2 คน ที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ

3. เลือก กกต. 5 คนใน 7 คน ที่พ้นจากตำแหน่งปี 2568

4. เลือก ป.ป.ช.คนใหม่ 4 ตำแหน่ง เลือกไปแล้ว 1 คน มกราคม 2568 รอเลือกอีก 3 คน ที่ครบวาระแล้ว ธันวาคม 2567 แต่ต้องสรรหาคนใหม่

5. เลือกผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน จะครบวาระพฤศจิกายน 2568 1 คน อีกสองคนจะครบวาระปี 2571

6. เลือก กสม. 6 คน จะพ้นวาระพร้อมๆ กันในช่วงเดือนพฤษภาคม 2571 อีกคนจะหมดวาระในช่วงเดือนกรกฎาคม 2572

ถ้าการสอบสวนคดีทุจริตเลือก ส.ว.ล่าช้าและไม่มีการยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว. ส่วนหนึ่งที่เข้ามาอย่างไม่สุจริตก็จะมีอำนาจเลือกกรรมการองค์กรอิสระไปเรื่อยๆ ตามวาระที่กำหนด

ขณะนี้จึงมีผู้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าการสอบสวนและการดำเนินคดี จะถูกดึงให้ช้า สอบพยานนานๆ แต่ไม่ยุติหน้าที่ ส.ว.ที่มีปัญหา ทำให้การโหวตกฎหมาย หรือการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ ยังทำได้ตามเป้าหมายของผู้บงการ

และถ้าโครงสร้างอำนาจยังเป็นแบบนี้ อำนาจเหนือระบอบประชาธิปไตยก็จะคงอยู่ และกดดันฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการต่อไปเรื่อยๆ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จะมีอำนาจน้อยกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์