สำรวจศักยภาพคนไทย และนวัตกรรมระดับโลก : การเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ตอนที่ 3 เยล : ศูนย์กลางแห่งปัญญาและเครือข่ายโลก

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

สำรวจศักยภาพคนไทย

และนวัตกรรมระดับโลก

: การเดินทางผ่านมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ

ตอนที่ 3 เยล : ศูนย์กลางแห่งปัญญาและเครือข่ายโลก

 

การเยือนมหาวิทยาลัยเยลเป็นอีกหนึ่งจุดหมายสำคัญของการเดินทางในสหรัฐอเมริกาของผม หลังจากที่ได้ไปเยือน MIT และ Harvard ซึ่งเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและการพัฒนานโยบายระดับโลก

ผมได้เห็นว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงสถาบันการศึกษา แต่ยังเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายนักคิด นักนโยบาย และนักปฏิบัติที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก

ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างไทยกับมหาวิทยาลัยเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

และหากเราสามารถดึงดูดองค์ความรู้และบุคลากรที่มีคุณภาพกลับมาพัฒนาประเทศ ไทยจะสามารถยกระดับศักยภาพของตัวเองในเวทีโลกได้อย่างแน่นอน

มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1701 ถือเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่และทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

เยลมีนักศึกษาปัจจุบันกว่า 14,000 คน และมีเครือข่ายศิษย์เก่าทั่วโลกมากกว่า 170,000 คน

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ผลิตประธานาธิบดีสหรัฐถึง 5 คน เช่น บิล คลินตัน และจอร์จ ดับเบิลยู. บุช รวมถึงรองประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) ซึ่งจบจาก Yale Law School และเป็นหนึ่งในผู้นำทางการเมืองที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

เส้นทางของเขาสะท้อนถึงบทบาทของเยลในการผลิตบุคลากรที่ก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญระดับชาติและนานาชาติ

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมให้ความสนใจกับมหาวิทยาลัยเยลเป็นพิเศษ คือความโดดเด่นของ Yale Environment 360 เว็บไซต์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ผมติดตามเป็นประจำผ่านอินเตอร์เน็ต

เยลเป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านพลังงานสะอาดและนโยบายการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อมชั้นนำของโลก

การได้มาเยือนเยลจึงถือเป็นโอกาสที่มีค่าสำหรับผมที่จะเรียนรู้แนวทางการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมด้านพลังงานหมุนเวียน

ผมยังได้สัมผัสความงามของ Sterling Memorial Library ห้องสมุดที่มีสถาปัตยกรรมแบบโกธิก ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจแห่งปัญญาของเยล

ความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยเยลและประเทศไทยมีมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะผ่านศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (Southeast Asia Studies) ที่มีนักวิจัยศึกษาเกี่ยวกับไทยอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาไทย เช่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านโครงการวิจัยและการแลกเปลี่ยนนักศึกษาในหลายสาขา เช่น กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และการพัฒนานโยบายสาธารณะ

ในการเยือนครั้งนี้ ผมได้พบกับคณาจารย์และนักวิจัยจากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และเยี่ยมชม Jackson School of Global Affairs ซึ่งเป็นโรงเรียนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายสาธารณะที่เน้นการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริง

เราได้แลกเปลี่ยนความเห็นถึงความท้าทายของประเทศไทยและอาเซียนภายใต้บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ นโยบายเศรษฐกิจ และบทบาทของไทยในภูมิรัฐศาสตร์โลก

แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดสำหรับผม คือการได้พูดคุยกับนักศึกษาไทยที่เยล ทั้งในระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา หลายคนเรียนด้านเศรษฐศาสตร์และกฎหมาย พวกเขาต่างมีความฝันที่จะนำความรู้กลับไปช่วยพัฒนาการเมืองไทย ปรับปรุงระบบกฎหมาย และลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ

นอกจากนี้ ผมยังพบว่านักศึกษาไทยที่เยลมีความหลากหลายในสาขาที่ศึกษา บางคนเกิดและเติบโตในต่างประเทศ พูดไทยไม่ได้ แต่ยังคงมีความสนใจที่จะทำธุรกิจและลงทุนในไทย

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นจุดหมายที่ดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ หากเราสามารถเปิดโอกาสที่เหมาะสมก็อาจดึงคนเหล่านี้กลับมาพัฒนาประเทศได้

นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาที่ทำงานเกี่ยวกับ blockchain และ cryptocurrency โดยบางคนมาทางสายวิทยาการคอมพิวเตอร์ และบางคนศึกษาในมุมมองของมานุษยวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเยลไม่ได้มีเพียงแค่สาขาการเมืองและกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาที่ให้ความสนใจด้านสาธารณสุข (Public Health) โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยี telemedicine และ AI ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ให้กับประชากรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สำคัญของระบบสาธารณสุขโลก

เยลมีโครงการวิจัยหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับไทยในการลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพในอนาคต

ในการพบปะครั้งนี้ ผมยังได้พูดคุยกับสมาชิกของ SATAY (Thai Student Association at Yale) ซึ่งเป็นเครือข่ายนักศึกษาไทยที่ช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างนักศึกษารุ่นต่างๆ ที่เยล และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย

นอกจากนี้ คำถามที่ผมได้รับบ่อยจากนักศึกษาไทยที่เยล และจากผู้เชี่ยวชาญไทยในต่างประเทศคือ “จะช่วยประเทศไทยได้อย่างไร?” ซึ่งเป็นคำถามที่ผมพบเจอในเกือบทุกมหาวิทยาลัยที่ได้ไปเยือน

ผมอธิบายให้พวกเขาฟังถึงแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของผม ซึ่งไม่ใช่ Made in Thailand แต่เป็น Made with Thailand

ผมไม่เชื่อเรื่องสมองไหลในแง่ลบ หากบุคลากรไทยสามารถเติบโตในสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้พวกเขาเบ่งบานเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงเทคโนโลยี การแพทย์ หรือศิลปะระดับโลก อย่างในมหาวิทยาลัยเยล ฮอลลีวู้ด หรือแม้แต่ซิลิคอนแวลลีย์

สิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลไทยต้องรู้ว่าคนเก่งของเรากระจายตัวอยู่ที่ไหน และสามารถเชื่อมโยงพวกเขากลับมาเป็น “ทูตตัวแทนของประเทศไทย” เมื่อถึงเวลาที่ประเทศต้องการพวกเขา

อย่าพึ่งสิ้นหวังกับบ้านเรานะครับ!