
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 มีนาคม - 3 เมษายน 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
สังฆราชปาลเลกัวซ์ เล่าถึงงานโกนจุกของเด็กไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ ไว้ในหนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” (ฉบับ สันต์ ท. โกมลบุตร แปล) ว่า
“เมื่อถึงคราวโกนจุก ถือว่าเป็นงานพิธีใหญ่ในครอบครัว เขาจะชำร่วยของกำนัลเป็นผลไม้และขนมให้แก่บรรดาญาติมิตรและผู้รู้จักทุกคนที่ได้รับเชิญมาในงาน”
“ในวันนั้นพอได้เวลาฤกษ์ดีแล้ว ก็จะยิงปืนขึ้นนัดหนึ่งเป็นสัญญาณ พระสงฆ์เป่ามนต์แล้วเอาน้ำมนต์รดหัวเด็ก ญาติผู้ใกล้ชิดจะเป็นผู้โกนจุกเด็กซึ่งประดับกายด้วยเครื่องทองหยองทั้งหมดบรรดามี มโหรีบรรเลงเพลงอันร่าเริง พวกที่ได้รับเชิญจะเวียนกันเข้ามาให้ศีลให้พรเด็กที่โกนจุกใหม่ และแต่ละคนก็ทำขวัญด้วยเงินตราวางลงในพานทองเหลือง…”
“ในวันนั้นจะเป็นการเลี้ยงใหญ่ในครอบครัว มีการกินข้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่และเคี้ยวหมากกัน มีการเล่นไพ่หรือไม่ก็ลูกบาศก์ พวกเศรษฐีมักจะมีลิเกฉลองและยืดงานออกไปเป็นสองวันหรือสามวัน”
การโกนจุกใช่จะมีแต่ลูกหลานคนไทยเท่านั้น แม้คนลาวชาวป่าชาวดงที่บ้านกระตั้ว จังหวัดสุพรรณบุรีก็โกนจุกให้ลูกหลาน มีคนมาช่วยงานและมีมหรสพดนตรีฉลองในงานไม่ต่างกัน ดังที่สุนทรภู่เล่าไว้ใน “โคลงนิราศสุพรรณ” ว่า
“๏ ถึงย่านบ้านกระตั้วเหล่า เชาดง
โกนจุกลูกสาวทรง สอาดสอ้าน
เชิญด้วยช่วยแต่งมง คนเกริก ฤกษเอย
โกนจุกลูกเชาบ้าน อยู่ค้างกลางคืน ฯ”
จะเห็นได้ว่ามีมหรสพดนตรีไทย วงปี่พาทย์มีระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน นักดนตรีเล่นดนตรีไปก็ดื่มเหล้าเมามายครึกครื้นไม่ต่างจากงานโกนจุกของไทย
“๏ ฟังตีปี่พาดฆ้อง กลองตโภน
เพลงไทยใส่กลองโยน ยุ่งแท้
เด็กโดดโลดเล่นโขน แขนคอก ออกเอย
ร้องขับรับอ้อแอ้ อุบเหล้าเมามาย ฯ”
สุนทรภู่บรรยายถึงเสียงซอ กระจับปี่ ขลุ่ย ระนาด ฆ้อง ตะโพน ที่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
“๏ เสียงซออ๋ออ่ออ้อ เอื่อยเพลง
จับปี่เตร๋งเต้งเต๋ง เต่งต้อง
คลุยตรุ๋ยตรุ่ยตรุ้ยเหนง เหน่งเน่ง รนาดแฮ
ฆ้องหน่องหนองน่องหน้อง ผรึ่งพรึ้งพรึ่งตโภน ฯ”
งานโกนจุกถือเป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบปะกัน ถ่ายทอดความในใจผ่านซองหมากฝากรักที่สาวบรรจงทำให้หนุ่มโดยเฉพาะ ได้สบตากันก็เอาแต่คิดถึงจนนอนไม่หลับ
“๏ สาวสาวเหล่าเลี้ยงเล่น เต้นรำ
ซองหมากฝากหนุ่มนำ เนตรชม้อย
โกนจุกลูกเล็กทำ ขวันเล่า เจ้าเอย
เนตรซู่หนูหนุ่มน้อย นั่งปลื้มลืมนอน ฯ”
(อักขรวิธีตามต้นฉบับ)
นอกจากมหรสพในงานโกนจุกเด็กไทยและลาวแล้ว ยังมีพิธีอีกมาก ดังที่ ‘กาญจนาคพันธุ์’ บันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง “เด็กคลองบางหลวง เล่ม ๒” ว่า
“.งานโกนจุกพี่สาวข้าพเจ้า ตอนทำพิธีมีญาติผู้ใหญ่และแขกผู้ใหญ่ห้อมล้อมเต็มไปหมด ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นเพราะเป็นเด็กไม่ใช่หน้าที่ เลยไปเล่นกับพวกเด็กๆ อีกทางหนึ่ง เมื่อตัดจุกโกนหัวเสร็จแล้ว ไปทำพิธีทำขวัญบนเรือนชั้นบน ที่เป็นห้องสองห้องเปิดโถงมุมขวาข้างในสุด ติดกับห้องนอนตั้งโต๊ะหมู่บูชา
ตอนทำขวัญนี้ข้าพเจ้าขึ้นไปและได้เห็น ที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาตั้งบายศรีใหญ่ พี่สาวข้าพเจ้าแต่งตัวมีเครื่องประดับหลายอย่างนั่งหมอบอยู่ข้างบายศรี มีพราหมณ์นั่งอยู่ข้างๆ ดูเหมือนป้อนมะพร้าวอ่อนหรืออะไรพวกนั้นจำไม่ได้
เสร็จแล้วมีเวียนเทียน มีญาติผู้ใหญ่นั่งพับเพียบรวมทั้งแขกผู้ใหญ่ด้วย นั่งตั้งแต่ริมโต๊ะหมู่เรียงติดๆ กัน ริมฝาทั้งสี่ด้านไปจดโต๊ะหมู่บูชาอีกข้างหนึ่ง พราหมณ์เอาแว่นมาติดเทียนขี้ผึ้ง (แว่นนั้นเป็นแผ่นโลหะแบนยาวสัก ๑๒ นิ้วฟุต กว้างสัก ๒ นิ้วฟุต เฉพาะปลายข้างหนึ่งที่เป็นด้านหัวนั้น ทำแผ่ออกไปมาก มีรูปเหมือนกลีบบัว ติดเทียนสามดอกที่เป็นรูปกลีบบัวนี้ ตัวแว่นทั้งหมดสลักเป็นลวดลายงาม) พราหมณ์จุดเทียนแล้วส่งให้ผู้ใหญ่ที่นั่งติดกับข้างซ้ายของโต๊ะหมู่บูชา ผู้ใหญ่รับแล้วเอาสองมือกุมที่ด้าม ยื่นออกไปข้างหน้าและวนกลับเข้ามาหาตัวสามครั้ง เอามือขวาโบกควันเทียนไปทางตัวพี่สาวที่นั่งหมอบอยู่ เสร็จแล้วส่งแว่นให้ผู้ที่นั่งต่อมา ทำอย่างเดียวกันเรื่อยไปทุกคนที่นั่งริมฝาทั้งสี่ด้าน จนบรรจบผู้ที่นั่งทางขวาติดกับโต๊ะหมู่บูชา
พิธีที่ทำนี้เรียกว่า ‘เวียนเทียน’ ทำขวัญสมโภชผู้ที่โกนจุก ผู้ที่นั่งเวียนเทียนรอบไปทั้งสี่ด้าน รวมทั้งหมดเห็นจะราว ๔๐-๕๐ คน การเวียนเทียนทำสามรอบ เมื่อครบสามรอบแล้ว ผู้ที่อยู่สุดท้ายติดกับโต๊ะหมู่บูชาส่งแว่นคืนให้พราหมณ์ดับเทียน ดูเหมือนเขาเอาใบพลูมาบีบให้ไฟดับ (คือไม่ได้ใช้มือหรือเป่าให้ดับ) เมื่อดับเทียนแล้วก็เป็นเสร็จงานโกนจุก”
โดยมากเรามักได้ยินเรื่องราวจากผู้ที่ได้เคยพบเห็นพิธีโกนจุกของผู้อื่น ไม่ใคร่มีใครเล่าถึงประสบการณ์โกนจุกของตนเองว่ารู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ในพระนิพนธ์เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าโกนจุก” หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงเล่าไว้โดยละเอียดว่า
“แม้เราจะเบื่อในการถูกโกนหัวเกล้าจุก ด้วยนอนหนุนตัวผู้ใหญ่อยู่นานๆ ก็ตาม แต่พอเขาปักปิ่นเพชรใส่มาลัยดอกเข็มขาวให้แล้ว เราก็รู้สึกภาคภูมิเห็นตัวเองสวยนี่กระไร”
เมื่อหม่อมเจ้าพูนพิศมัยทรงแต่งกายงดงามเหมาะสมกับพิธีการนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
“เรารู้สึกภาคภูมิว่าตัวเป็นคนสำคัญ ทั้งสวยทั้งมีคนเอาใจใส่…วันแรกพอแต่งตัวเสร็จลุกขึ้น ข้าพเจ้าก็เซ เพราะหนักเครื่องเพชรทองอันเต็มไปทั้งตัว เด็กไม่มีทางจะซนได้เลย…ตัวเราเองพอเดินผ่านกระจกก็เห็นว่าตัวสวยแต่หนักไปทั้งตัว…”
วันโกนจุกนั้น พอท่านนั่งลงแล้วก็มีผู้มาถอดเกี้ยวออกวางใส่พานบนโต๊ะ ขั้นตอนต่อไปก็คือ
“แบ่งผมจุกออกเป็น ๓ ปอย เอาแหวนนพเก้าและใบมะตูมผูกไว้ตรงปลายผมทั้ง ๓ ปอยด้วยด้ายสายสิญจน์ เรานั่งใจเต้นไปตามกันที่จะได้ตัดผมจุกออก เพราะอยากกระโดดน้ำดำว่ายให้สบาย ถ้ามีจุกที่เกล้าสวยงามแล้ว จะทำให้เปียกน้ำไม่ได้”
หลังจากผ่านขั้นตอนพิธีทั้งหลายแล้ว ก็ถึงตอนสำคัญที่เด็กรอคอย
“ต่อจากนั้นก็นั่งคอยรับของขวัญต่างๆ อย่างตื่นเต้น และเห็นว่าตัวมั่งมีเสียเหลือประมาณ…ของขวัญในสมัยก่อนมักจะเป็นเพชรทองและเงินทั้งนั้น เกือบๆ จะตั้งตัวได้ เราเด็กๆ จึงตื่นเต้นในความเป็นเศรษฐีย่อยของตัวเองเป็นอันมาก เพราะยังไม่เคยมีอะไรเป็นของตัวเลย มิได้เคยนึกเลยว่าการโกนจุกนั้น คือ เขาตัดเราออกจากการเป็นเด็กแล้ว และนับว่าเป็นผู้รู้ความรับผิดชอบด้วยตัวเองได้แล้วด้วย คิดอยู่อย่างเดียวเพียงว่าคราวนี้จะเล่นเอาเถิดในน้ำดำว่ายให้สนุกทีเดียว”
แม้การโกนจุกจะมีขึ้นเพื่อให้เด็กก้าวข้ามไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มิอาจปฎิเสธได้ว่าความเป็นผู้ใหญ่มิอาจเกิดขึ้นได้ในเวลาชั่วข้ามคืน น่าจะต้องอาศัยเวลาค่อยเป็นค่อยไป ดังจะเห็นได้จากความตั้งใจความต้องการแบบเด็กๆ ที่หม่อมเจ้าพูนพิศมัยท่านทรงทิ้งท้ายไว้ในพระนิพนธ์ข้างต้น
“คิดอยู่อย่างเดียวเพียงว่าคราวนี้จะเล่นเอาเถิดในน้ำดำว่ายให้สนุกทีเดียว” •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022