ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 มีนาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | เขย่าสนาม |
เผยแพร่ |
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีประเด็นไหนร้อนแรงไปกว่าผลกระทบของการที่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีลิขสิทธิ์และสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ระหว่าง บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยให้สมาคมฟุตบอลฯ ชดใช้ค่าเสียหายแก่ บมจ.สยามสปอร์ตฯ เป็นเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ผู้ที่ต้องดูแลกีฬาฟุตบอล กีฬามหาชนของคนไทยทุกคน เป็นหนี้ก้อนโต อันเป็นผลกระทบต่อเนื่องมาจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหารชุดเก่า
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมคนปัจจุบัน ที่เรียกว่ามารับอุจจาระกองเบ้อเริ่ม จากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อเอาไว้
อันนำมาซึ่งการแถลงข่าว ที่เดิมทีวางไว้ว่าจะเป็นการแถลงข่าวผลงานตลอดการทำงาน 1 ปีที่ผ่านมาในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ของตัวเอง กลับกลายเป็นว่าโฟกัสไปอยู่ที่การแฉการทำงานของสมาคมชุดเก่าแบบเละเทะ
ว่ากันที่ประเด็นหนี้ 360 ล้าน บวกดอกเบี้ยอีกราวๆ 200 ล้าน ที่จะต้องใช้ให้กับสยามสปอร์ตฯ ก่อน อันดับแรกคงต้องเข้าไปพูดคุยกับ นายระวิ โหลทอง ผู้ก่อตั้งสยามสปอร์ตฯ เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ยและพูดคุยเรื่องการชำระหนี้คืน ซึ่งทางมาดามแป้งยืนยันว่าเงินก้อนนี้จะต้องใช้คืนให้หมดก่อนที่จะหมดวาระของตัวเองในอีก 3 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน สภากรรมการก็มีมติให้ดำเนินตามกฎหมาย ฟ้องไล่เบี้ยกับผู้บริหารชุดเก่า นำโดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคม ที่เป็นจำเลยคนที่ 2 และสภากรรมการอีก 17 คน เพื่อให้ร่วมชดใช้ในกรณีนี้
อย่างไรก็ตาม สมาคมคงจะรอให้ศาลตัดสินไม่ได้ เพราะมันน่าจะใช้เวลานานและจะทำให้ดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นไปกว่าเดิม ฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้ก่อนให้ได้
ในส่วนของการหาเงินมาใช้หนี้ก้อนนี้ เบื้องต้นก็ต้องไปไล่ดูระบบสิทธิประโยชน์ของสมาคม จะสามารถหาเงินเพิ่มจากไหนได้บ้าง หาสปอนเซอร์เพิ่ม หรือแม้แต่การขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีกที่กำลังประมูลในเวลานี้ ก็ควรจะต้องให้ได้ค่าตอบแทนสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเจียดเงินส่วนหนึ่งมาใช้หนี้ด้วย
ขณะที่มาดามแป้งได้เสนอให้ทำแคมเปญพิเศษ “คนไทย รัก บอลไทย” เพื่อระดมทุนจากทุกภาคส่วนมาช่วยเหลือสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ในการใช้หนี้และพัฒนาวงการฟุตบอลไทยในทุกมิติ
วิธีการก็มีทั้ง จำหน่ายเสื้อ “คนไทย รัก บอลไทย” เพื่อเอารายได้มาเป็นส่วนของการใช้หนี้ หรือการรับบริจาค ลดหย่อนภาษี 2 เท่า และจัดกิจกรรมระดมทุน ว่ากันตามตรงก็มีทั้งจุดที่ดีและไม่ดี เช่น การรับบริจาคที่ดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่
ก็ต้องรอดูอีกทีว่าวิธีการแต่ละอย่างจะออกมาในรูปแบบไหนบ้าง
เรื่องของการใช้หนี้และหาเงินมาใช้หนี้ ก็ต้องต้องรอดูฝีมือการเป็นนักประสาน 10 ทิศ ของมาดามแป้ง ว่าจะให้จบสวยๆ อย่างไรได้บ้าง
แต่สิ่งที่ตอนนี้ดูจะกลายเป็นประเด็นมากกว่าการใช้หนี้ 360 ล้านบาท น่าจะเป็นเรื่องการเปิดพรมการทำงานของผู้บริหารสมาคมชุดเก่า แล้วแฉสิ่งที่ผิดปกติที่ถูกซ่อนเอาไว้มาเป็นเวลานาน
มาดามแป้งชี้แจงว่า ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่นายกสมาคม ได้ตั้งทีมงานตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของสมาคม พบว่ามีเงินอยู่แค่ 27 ล้านบาทเศษ และมีหนี้สินอีกราวๆ 132 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเจอสัญญากู้ยืมเงินจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) 5 ล้านเหรียญ (ราว 155 ล้านบาท) ซึ่งต้องใช้หนี้คืนโดยตัดออกจากเงินสนับสนุนประจำปี ปีละ 1.250 ล้านเหรียญสหรัฐ ออกไปปีละ 5 แสนเหรียญ ถึง 10 ปี (2566-2575) ด้วยกัน
เงินก้อนนี้ต้องบอกว่าเกิดในช่วงโควิด-19 ที่แต่ละประเทศก็ประสบปัญหาการเงิน ทางฟีฟ่าก็เลยให้กู้ได้ แล้วทางสมาคมก็ไปกู้มา ถามว่าเข้าใจได้ไหม ก็พอเข้าใจได้ แต่ที่น่าสงสัยมากกว่าคือ เงิน 155 ล้าน ถูกนำไปใช้ทำอะไรมาบ้าง
ประเด็นต่อมาที่ถูกแฉก็คือการที่นายกสมาคมคนเก่า แอบรับเงินเดือน ซึ่งตามหลักแล้วตำแหน่งนายกสมาคม เป็นตำแหน่งอาสา ไม่มีเงินเดือน แต่ปรากฏว่าอดีตนายก เคยได้เงินเดือนแบ่งเป็นจากสมาคม และจาก บริษัท ไทยลีก จำกัด ถึงเดือนละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 32 ล้านบาท
เงินก้อนนี้ เคยถูกร้องเรียนไปทาง การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และมีการตีความโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่าต้องคืนเงินทั้งหมด แต่ทว่า กลับหาเงินก้อนนี้ไม่เจอว่าคืนมาทางไหน
ซึ่งประเด็นนี้ถูกสวนกลับมาโดย พล.ต.อ.สมยศ ทันทีว่า เงินเหล่านี้คืนไปในการบริจาคเงินเข้าสมาคมแล้ว แต่ปัญหาคือ การบริจาคกลับมาไม่ได้บริจาคเข้ามาเป็นก้อนใหญ่ แล้วเงินมันครบ 32 ล้านบาทตามที่ได้รับไปหรือไม่
ก็ต้องไปว่ากันตามหลักฐานทางการเงินอีกครั้ง
แต่อีกอันหนึ่งที่น่าสงสัยมากๆ เลยก็คือ ในคดีที่สมาคมฟ้องกลับสยามกีฬา แต่คดีนี้ถูกศาลอุทธรณ์ยกฟ้องและศาลฎีกาไม่รับตีความ ทว่า ในข้อตกลงที่จ่ายให้กับทนายความนั้น ตั้งไว้ที่ศาลชั้นต้น 7.5 แสนบาท และเพิ่มในชั้นอุทธรณ์กับฎีกาชั้นละ 3 แสนบาท ทว่า ในขั้นสุดท้ายกลับจ่ายไปทั้งหมด 30 ล้านบาท
อันนี้ถือว่าแปลกสุดสุด เพราะเงินมันเพิ่มแบบก้าวกระโดดมากๆ และมันถูกเซ็นก่อนที่ พล.ต.อ.สมยศจะหมดวาระไม่นานเท่านั้น
และเมื่อว่ากันตามหลักแล้ว การที่ศาลฎีกาไม่รับตีความ นั่นหมายความว่าเงินมันควรจะหยุดแค่ 7.5 แสน บวก 3 แสน ในชั้นอุทธรณ์เท่านั้น แต่กลับจ่ายไปถึง 30 ล้าน แถมคดียังแพ้อีก นั่นหมายถึงเสียเงินไปฟรีๆ หรือไม่?
น่าแปลกใจเช่นกันที่ พล.ต.อ.สมยศออกมาชี้แจงหลายเรื่อง แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องเงินทนายนี้เลย คงต้องรอดูว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ ก็ได้ออกหนังสือประหนึ่งสารท้าถึงมาดามแป้งว่าถ้าค้นพบเจอว่าทำอะไรผิด ก็ให้ดำเนินการฟ้องมาเลย เพื่อจะได้ชี้แจงในกระบวนการยุติธรรม เพราะการออกมาแถลงข่าวแบบนี้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ส่วนทางมาดามแป้ง ยืนยันว่ายังคงนับถือ พล.ต.อ.สมยศ เป็นพี่น้อง แต่การดำเนินการตรงนี้เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
ถ้าใครจำได้วันสุดท้ายของ พล.ต.อ.สมยศ ในตำแหน่งนายกสมาคม พูดเอาไว้ว่า คนที่มาสานงานต่อโชคดีมากๆ เพราะตอนที่ตัวเองเข้ามามี กุญแจดอกเดียว แต่ตอนนี้มีที่ทำการ ทุกอย่างทำเอาไว้ดีหมดแล้ว
แต่ดูทรงกุญแจดอกเดียวนั้น นำมาสู่หนี้สินมหาศาล แถมยังอาจจะทำให้คนที่รักกันดีก่อนหน้านี้
มองหน้ากันไม่ติดอีกเลยก็ได้ •
เขย่าสนาม | Stivie Toon
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022