ไม่มีคำว่า ‘ก้มหัว’ ทั้งยังมองไม่เห็น ‘หัว’

เหยี่ยวถลาลม

 

ไม่มีคำว่า ‘ก้มหัว’

ทั้งยังมองไม่เห็น ‘หัว’

 

ไม่เปิดเผย ไม่โปร่งใส ตรวจสอบอะไรก็ไม่ได้-ไม่ใช่คุณลักษณะของสังคมเสรีประชาธิปไตย แต่บ่อยครั้งในสังคมไทยจะพบเห็นพฤติกกรรมแบบที่ว่านั้นกันได้ทั่วไปจนคล้ายจะเป็น “ระบบความคิด” ที่ฝังรากลึก

นักการเมืองก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้ามีพฤติการณ์นิยมชมชอบการผูกขาดตัดตอน ใช้ตำแหน่งหน้าที่เป็นโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ได้มีสามัญสำนึกที่จะสร้างสรรค์ประโยชน์แก่สาธารณะ จะว่าไปแล้วนั่นก็ไม่ใช่คุณลักษณะของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

การที่คนกับระบอบไม่ได้สอดคล้องไปด้วยกันแบบนี้บ่งชี้ถึง “ขั้น” การพัฒนาของสังคม

ระบบกฎหมายกับกระบวนการยุติธรรมรวมทั้งระบบการเมืองควรจะเป็น “เครื่องกรอง” เอาคนที่ไม่ใช่ ออกจากระบบ

ระบบที่ต้องสะสางอย่างยิ่งคือระบบการเมืองกับระบบราชการไทย

คนที่เจริญแล้ว “คิด” กับคนที่ยังไม่เจริญ “คิด” ย่อมไม่เหมือนกัน

“ความไม่เหมือน” โดยปกติเป็นความปกติ

แต่ “ไม่ปกติ” ถ้าความต่างนั้นสร้างปัญหาจนเป็น “อุปสรรค” สำหรับการพัฒนา

คนเจริญกับคนที่ยังไม่เจริญที่ว่า ไม่ใช่เรื่องทางวัตถุ แต่เป็น “ความเจริญทางความคิด” อันหมายถึงคนที่มีความสามารถในการใช้เหตุผลและมีความเจริญทางวัฒนธรรม

“คนที่ยังไม่เจริญ” หรือนักการเมือง หรือข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมทั้งผู้คนทั่วไปที่คิดและกระทำด้วยแรงขับจากข้างในที่อาจจะดูคล้ายเรียบง่าย ดิบ แต่มักง่าย เอาแต่ได้นั้นเป็น “อุปสรรค” การพัฒนา ต่างจาก “ความคิดที่เจริญแล้ว” ที่จะคิดไปอีกขั้น นั่นคือ มีความคิดสำนึกในถูกผิด มีความละอายต่อการกระทำผิดต่อ “สังคมส่วนรวม”

ดังนั้น ในหลายกรณี เพื่อรักษาความสงบสุขและความยุติธรรมในการอยู่ร่วมกัน ประโยชน์ส่วนตัวจึงต้องหลีกทางให้กับ “ประโยชน์ของส่วนรวม”

 

“เกียรติ” ของข้าราชการ ของนักการเมือง หรือของผู้นำหน่วยที่เจริญแล้วจึงเกิดจาก “ความสามารถ” เกิดจากการทำหน้าที่ในตำแหน่ง เกิดจากการเคารพกฎหมาย และการประพฤติที่ดีงาม มีความละอาย ไม่ทุจริต ไม่เบียดเบียน ไม่เอารัดเอาเปรียบสังคม ต่างกับ “เกียรติ” ของคนที่ยังไม่เจริญที่มุ่งหมายแต่จะ “มีมาก” เช่น ขอแต่เพียงให้เงินมาก มีอำนาจมาก มีพวกมาก มีเครือข่ายทุจริตคอร์รัปชั่นกว้างขวางใหญ่โตก็คิดว่าตัวเองมีเกียรติมาก

ในสภาพสังคมที่ยังลูกผีลูกคน “ระบบกฎหมาย” กับ “กระบวนการยุติธรรม” ควรจะเป็น “เขตปลอดเชื้อ” ทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นที่พึ่ง ทำหน้าที่ “กรอง” เอาความบิดเบี้ยว ความไม่ถูกต้องตามกติกาจารีตและกฎหมายออกไปจากพื้นที่ต่างๆ ไม่ปล่อยให้ “ตัวแบบ” ที่เลวๆ ลอยหน้าลอยตามีเกียรติมีสถานะได้อวดโอ่อยู่ในสังคม

เมื่อมีเรื่องราวที่อันใดผิดปกติปรากฏ ควรต้องมี “คำตอบ” อย่างเปิดเผย โปร่งใส เข้าใจง่าย สังคมตรวจสอบได้โดยไม่ต้องดราม่าหรือชวนให้เกิดการตีความซับซ้อนซ่อนเร้น

 

ดังกรณีการใช้เงินประกันสังคมซื้อตึก 7 พันล้าน หรือกรณีการก่อสร้างทางยกระดับถนนพระราม 2 ถล่ม เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั้น “ข้าราชการ” กับ “นักการเมือง” ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องควรประพฤติปฏิบัติได้ทันท่วงที

เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปรับปรุงแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่ใช่ลูบหน้าปะจมูก แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ

หากแต่บ่อยครั้งการจัดการที่ปลอดโปร่ง และเปิดเผย ไม่ปรากฏ

 

ที่ถนนพระราม 2 แม้โทนจะออกไปทาง “อุบัติเหตุ” แต่ 5 ปีมานี้ เกิดขึ้นแล้วกี่ครั้ง!?

เมื่อปี 2564 คนงานก็หล่นตุ้บลงมาจากคานยกระดับ-ตายสนิท

ปี 2565 เกิดเหตุตั้งหลายครั้ง เช่น แผ่นปูนหนัก 5 ตันของสะพานกลับรถที่กำลังก่อสร้างพังถล่มลงมาทับรถยนต์ที่ผู้คนกำลังสัญจรอยู่ด้านล่าง

อีกครั้งเหล็กก่อสร้างมหึมาก็หล่นลงมาเฉียดคร่าชีวิตรถที่สัญจรด้านล่างไปหวุดหวิด

ช่วงปี 2566 เหตุแบบเดียวกันเป๊ะเกิดขึ้นอีกตั้งหลายครั้ง เช่น รถเครนของโครงการก่อสร้างทางยกระดับโค่นลงมา อีกไม่นานต่อมาเศษปูนก็ร่วงหล่นลงมาใส่รถยนต์ประชาชน

อีกครั้งก็มีแผ่นปูนหล่นลงมาทับทั้งรถยนต์หลายคัน มีคนตาย

ปลายปี 2567 ที่เพิ่งผ่านกันไปไม่นาน ทั้งคานปูน ทั้งเครนเหล็กที่กำลังก่อสร้างก็ถล่ม คนตายไป 6 บาดเจ็บนับสิบ

ทุกครั้งและทุกด้านควรเปิดเผยต่อสาธารณะ

 

เส้นทางถนนพระราม 2 สับสนอลหม่าน ชวนสยองด้วยสถิติอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วไม่น้อยกว่า 130 ชีวิต

ที่ผ่านมาเกิดเหตุครั้งหนึ่งก็จะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้า “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกทีวี มาอธิบายความเรื่อยเปื่อยกันครั้งหนึ่ง แต่จับใจความหาสาระไม่ได้ว่า ทำไม หรือเหตุใดการก่อสร้างทางยกระดับถนนพระรามที่ 2 จึงเกิดอุบัติเหตุได้บ่อยครั้ง

ทำไมรัฐมนตรีผู้มีหน้าที่ หรือข้าราชการกระทรวงคมนาคมผู้มีหน้าที่ หรือตำรวจนครบาลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในงานด้านต่างๆ จึงไม่มีท่วงท่ากล้าหาญที่จะพิทักษ์ปกป้องประโยชน์แห่งสาธารณะให้สุดจิตสุดใจ เช่น

หนึ่ง สอบสวนดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้รับเหมาอย่างจริงจัง ตรงไปตรงมา เพราะทุกครั้งที่มีคนเหตุ ทำให้คนเจ็บ มีคนตาย เกิดความเสียหายแก่ราชการและประชาชนผู้สัญจร

สอง บอกกับสาธารณชนให้ชัดว่า สาเหตุเกิดจากอะไร ใครคนไหนเกี่ยวข้องอย่างไร ใช้เครื่องมืออุปกรณ์อะไร ใช้วิธีทำแบบไหน มีใครละเลยอย่างไร มีใครเป็นผู้รับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น

และมีใครที่ต้องรับผิดชอบกับเหตุร้ายซ้ำซาก!

หรือไม่ต้องมี

เหตุเกิดขึ้นแล้ว มีตายก็จ่ายเงิน มีเจ็บก็รักษาพยาบาล

ระบบความคิดแบบรัฐราชการไทย ไม่รู้จักคำว่า “ก้มหัว” และมองไม่เห็น “หัว” ประชาชน!?!!!