เปิดหีบบัตร ขจัดความข้องใจ กกต.ต้องแก้ไข คดีเลือก ส.ว.โดยด่วน

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ

 

เปิดหีบบัตร ขจัดความข้องใจ

กกต.ต้องแก้ไข คดีเลือก ส.ว.โดยด่วน

 

ช่วงเวลานี้ การเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่ต้องติดตามก็คือการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อไทย และประเทศต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งโดยตรงโดยอ้อมกับประเทศไทย

ส่วนเรื่องภายในประเทศที่สำคัญที่สุดก็คือคดีทุจริตการเลือก ส.ว. เพราะเรื่องนี้ส่งผลต่อโครงสร้างการปกครองของประเทศ ถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้อง การทุจริต การคอร์รัปชั่นจะขยายตัวออกไปจนประเทศเรากลายเป็นสีเทา

ความไม่ไว้วางใจไม่เพียงเกิดขึ้นภายในประเทศ แต่คนต่างประเทศแม้แต่นักท่องเที่ยวก็เกิดความกังวล ว่าเข้ามาแล้วไม่ปลอดภัย เข้ามาลงทุนแล้วอาจจะถูกคดโกงได้

ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นเรื่องการเมืองตามปกติ คดีความที่ฟ้องร้องกัน เรื่องที่ดิน เรื่องการทุจริตในโครงการต่างๆ เป็นเรื่องย่อย ที่มีมากมายและจะเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ

ถ้าไม่แก้ปัญหาที่โครงสร้างให้เกิดความบริสุทธิ์โปร่งใส มีความยุติธรรม ปัญหาเล็กๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่รู้จักจบ

นี่จึงเป็นเรื่องด่วน

 

มีคนตายต้องพิสูจน์ศพ

พบทุจริตต้องเปิดหีบลงคะแนน

สมมุติว่าเศรษฐีใหญ่ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจมากมายคนหนึ่งเสียชีวิตลงในงานเลี้ยง ทุกคนเห็นว่าผู้เสียชีวิตน้ำลายฟูมปากชักตาตั้งแล้วก็ตายจากไป ลูกหลานจำนวนหนึ่งพยายามบอกว่านี่เป็นการตายตามธรรมชาติ เป็นโรคหัวใจวาย ต้องการแบ่งมรดกและเข้าบริหารบริษัทต่างๆ

แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าเศรษฐีใหญ่น่าจะถูกฆาตกรรมด้วยการวางยาพิษ ควรมีการพิสูจน์ศพ สืบสวนหาสาเหตุการตายและหาว่าใครคือฆาตกร ไม่ควรปล่อยให้ฆาตกรได้ครอบครองมรดกทรัพย์สิน และเข้าดำเนินการในบริษัทเพราะอาจจะลบร่องรอยหลักฐานต่างๆ ได้

ประชาชนต่างก็ให้ความสนใจคดีนี้มาก แต่ก็แปลกที่ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ศพผู้เสียชีวิตว่าตายเพราะอะไรกันแน่ ถ้าพิสูจน์ศพแล้วรู้สาเหตุว่าป่วยตายจริงเรื่องก็จะง่ายขึ้น

แต่ถ้าพิสูจน์ออกมาแล้วว่าถูกวางยาพิษ ก็ต้องไปสืบสวนหาฆาตกร ซึ่งก็จะเริ่มต้นตั้งแต่หลักฐานการวางยาพิษ ใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องในช่วงเวลาก่อนหน้าเสียชีวิต ใครที่มีผลประโยชน์ทั้งได้และเสียจากการตายของเศรษฐีคนนั้น

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องพื้นฐานของการสืบสวน เปรียบเทียบกับคดีการทุจริตการเลือก ส.ว. ในเมื่อมีข้อร้องเรียนมีหลักฐาน ทั้งภาพถ่ายวิดีโอ เอกสารโพยต่างๆ เจ้าหน้าที่กลับเก็บไว้เงียบเกินกว่าครึ่งปี

ยิ่งเป็นแบบนี้ใครๆ ก็ต้องสงสัยว่านี่คือคดีฆาตกรรม ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง และพยายามไม่ให้มีการสืบสวนคดีนี้

การเปิดหีบบัตรลงคะแนน ถือว่าเป็นข้อเสนอพื้นฐานที่สุดของการสืบสวน เพราะถ้าเปิดหีบบัครลงคะแนนแล้วตรวจสอบดูก็จะรู้ว่า เป็นไปตามข้อกล่าวหาที่ว่ามีการฮั้วกันหรือไม่ จากนั้นก็สามารถนำสืบไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องว่ามีใครเกี่ยวข้อง มีการว่าจ้างโอนเงินให้ใครต่อใครบ้างอย่างไร

ยิ่งมีการกีดกันไม่ให้ทีมสอบสวนเข้ามาสืบ คนก็ยิ่งเชื่อว่าคดีนี้มีลักษณะเป็นอั้งยี่จริง ทำเป็นขบวนการจริง มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังจริง

และน่าจะยิ่งใหญ่จนกระทั่งกรรมการบางคนไม่กล้าลงคะแนน เจ้าหน้าที่ธรรมดาไม่กล้าสอบสวน ตอนนี้ใครจะสอบสวนกลับจะถูกฟ้อง

 

เปิดหีบบัตรจะพบอะไร?

น่าจะพบหลักฐานที่ปรากฏชัดเจนว่ามีการลงคะแนน 2 แบบ คือตามโพยเหมือนกันแม้ไม่รู้จักกัน อยู่คนละกลุ่มอาชีพ คนละจังหวัด เป็นจำนวนมาก

และอีกส่วนหนึ่งจะลงคะแนนตามธรรมชาติของการเลือกกันเองแบบรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง

ตามกฎที่เลือกตนเอง 1 คนและเลือกคนอื่นได้อีก 9 คนทำให้การรวมกลุ่ม 10 คนเป็นไปตามธรรมชาติและมีข้อตกลงที่ให้เลือกซึ่งกันและกัน

พวกผู้สมัคร ส.ว.อิสระ จะจับกลุ่มผ่านคนกลางแนะนำ หรือบางทีก็แนะนำตัวเองผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โทร.ไปหากันเอง และมีการจัดประชุมแนะนำตัวและประวัติอย่างเปิดเผย บางคนการส่งข้อความขอคะแนนกันทางสื่อโซเชียลระหว่างผู้สมัครด้วยกัน เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะไขว้กลุ่มไปเจอกับใคร บางคนก็ขยันส่งไปหมดทั้ง 3,000 คนแม้รู้ว่าจะมีคนตกรอบแรกไปถึง 2,200 คนก็ตาม แต่ก็หวังว่าอีก 800 คนถ้าจำเขาได้ แล้วไขว้มาเจอกันก็อาจจะได้สัก 1 คะแนน

ส่วนกลุ่มผู้สมัคร ส.ว.ที่มีการจัดตั้ง ผ่านเครือข่ายหลายจังหวัด ก็รวมคนเข้ากลุ่มอาชีพต่างๆ อาชีพละ 40-50 คน แต่ถูกเก็บตัวในโรงแรม เมื่อถึงเวลามาลงคะแนน ก็ไม่หาเสียง ไม่ขอคะแนน เจอผู้สมัครอื่นๆ ก็ไม่คุย เพราะหลายคนที่ถูกจัดตั้งและว่าจ้าง รู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นแค่โหวตเตอร์ ยอมรับค่าตอบแทนตั้งแต่ต้น

การลงคะแนนระดับประเทศรอบแรก คัด 40 คนจาก 150 คนของแต่ละกลุ่มอาชีพ ฝ่ายจัดฮั้วสามารถทำได้จริง (ตามวิธีที่อธิบายในฉบับที่แล้ว) ผลคะแนนออกมา จึงผ่านเข้ารอบแรกได้ 18-22 คน จาก 40 คน ทั้ง 20 กลุ่มอาชีพ

แต่ผู้สมัครอิสระที่ผ่านรอบแรก บางคนยังเพ้อฝันว่าจะมีคนมาลงคะแนนหนุนช่วยรอบ 2

ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ส่วนใหญ่สอบตกไปแล้วตั้งแต่ตอนเช้า

ต่อให้จับสลากไขว้กลุ่มมาเจอกันก็แทบจะไม่มีคะแนนมาหนุน

 

เปิดหีบบัตร การเลือกรอบสอง

จะพบว่ากลุ่มจัดฮั้ว

กำหนดคนแต่ละกลุ่มอาชีพ ได้ตามโพย

ผู้สมัครที่สามารถผ่านมาถึงรอบสองมี 800 คน ทุกกลุ่มอาชีพจับฉลากแบ่งสาย 4 สาย ได้สายละ 5 กลุ่ม จากนั้นจึงจะแยกห้องออกไปตามสาย ซึ่งแต่ละสายจะมีคน 200 คนไปเลือกแบบไขว้

กติกาคือ… จะเลือกตัวเองและกลุ่มของตัวเองไม่ได้…แต่จะให้เลือกคนจากกลุ่มอื่นอีก 4 กลุ่ม

…และการเลือกครั้งนี้สามารถเลือกแต่ละกลุ่มได้ถึง 5 คน จาก 40 คน ดังนั้น ผู้สมัคร 1 คนจะลงคะแนนให้คน 20 คน จาก 4 กลุ่ม คนละ 1 คะแนน หรือไม่เลือกก็ได้ ทำให้การเลือกแต่ละกลุ่ม จะครบ 5 คนหรือไม่ก็ได้

เมื่อตัดกลุ่มตัวเองออกไป 40 คน ก็จะต้องเลือก 160 คนที่เหลือ

คนปกติเลือกให้ครบ 20 คน จาก 160 ยากมาก เพราะ…ช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าไม่รู้จักกันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินใจได้อย่างง่ายๆ การเลือกในรอบนี้ส่วนใหญ่จะเลือกจากการที่มีคนฝากมา หรือรู้จักกัน ซึ่งก็ไม่มีทางจำได้หมด ใครจะไปจำชื่อคนที่อยู่คนละอาชีพและคนละจังหวัดได้ แม้แค่จดชื่อและเบอร์คนที่อยากจะเลือก ยังหาได้ไม่ครบ ที่จำชื่อได้ก็ไม่ได้ไขว้กลุ่มมาอยู่สายเดียวกัน ที่อยู่สายเดียวกันก็ดันไม่รู้จัก

การเลือกในรอบ 2 นี้ผู้ที่เข้ารอบไปได้แบบธรรมชาติหลายคนจึงยังไม่รู้จะลงคะแนนให้ครบ 20 คนได้อย่างไร หาได้ 10-15 คนก็เก่งแล้ว บางคนไปขอคะแนนกันหน้าห้องน้ำ ก็โหวตให้ดีกว่าเว้นว่างไว้

แต่พวกจัดตั้งที่มีโพยไม่ต้องรู้ชื่อ ไม่ต้องรู้หน้า เขียนเบอร์อย่างเดียวตามที่ได้รับคำสั่งมา คะแนนไหลมาเทมา เป็นเซ็ต

เพราะกลุ่มจัดฮั้วมีคนจัดตั้งไว้ทุกกลุ่ม (18-22 คน) ครบ 20 กลุ่ม จับสลากไขว้ยังไง พวกเขาจะมีสิทธิ์โหวตได้ประมาณ 80 คนในแต่ละสาย (ยกเว้นกลุ่มตนเอง) สามารถโหวตได้ 400 คะแนน (80 x 5) จึงแบ่งคะแนนตามคำสั่งในโพย ให้กลุ่มอาชีพละ 6-7 คน ซึ่งจะได้คะแนนอยู่ระหว่าง 45-70 ต่อคน… คะแนนนำโด่ง

ดังนั้น เมื่อเปิดหีบบัตรตรวจ ก็จะพบใบลงคะแนนที่เหมือนกัน (ตามโพย) จำนวนมาก

 

ที่น่าสงสารคือผู้สมัครอิสระ เลือกกันเองตาม พ.ร.ป.วุฒิสภา ถ้าจับสลากไขว้ไปเจอกลุ่มคนรู้จักอยู่บ้างก็มีโอกาส แต่ถ้าเจอคนไม่รู้จัก อาจได้คะแนน 0 หรือไม่ถึง 5 คะแนน คนที่มีฐานเสียงอยู่บ้าง บวกความดังก็จะได้ 15- 20 กว่าคะแนนเท่านั้น ทำให้พอมีโอกาสติด 4 อันดับสุดท้ายหรือสำรอง

สรุปว่าการเลือก ส.ว.ครั้งนี้ กลุ่มจัดฮั้ว เหยียบกฎหมายและผู้รักษากฎจมดิน จึงมีคนฮึดสู้ฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งจะมีผลให้…

1. แยกผู้ที่ทำตามกฎหมาย กับผู้ทำผิดกฎหมายออกจากกัน

2. จะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยเป็นอย่างไร

3. รักษาชื่อเสียงของสถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมาย

4. ส.ว.เป็นผู้ที่เลือกกรรมการองค์กรอิสระ ถ้าหากว่ามี ส.ว.จำนวนหนึ่งเข้าสู่วุฒิสภาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง มีการทุจริต จะไปเชื่อถือได้อย่างไรว่าพวกเขาจะไม่เลือกกรรมการองค์กรอิสระที่เป็นพวกเขา เพื่อมาช่วยกันปกปิดความผิดและหาผลประโยชน์

ถ้าคดีนี้ยิ่งเลื่อนช้าออกไป ส.ว.บางคนที่เข้ามาแบบทุจริตมีสิทธิ์โหวตไปเรื่อยๆ จะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จะมีผลให้การโหวตใดๆ ในวุฒิสภาเป็นไปตามคำสั่งของผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง

คนที่เข้ามาขวาง หรือถ่วงเวลาการสืบสวนคดีนี้ ประเมินได้ว่าต้องอยู่ในขบวนการอั้งยี่ด้วยกัน