‘สี จิ้นผิง’ วิสัยทัศน์เขียว

ทวีศักดิ์ บุตรตัน
U.S. Secretary of State Antony Blinken meets with Chinese leader Xi Jinping at the Great Hall of the People in Beijing on Monday. | REUTERS

ไปงานประชุมโมบายเวิร์ลด์คองเกรส ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อไม่กี่วันก่อน เห็นความยิ่งใหญ่ของจีนในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ และเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม บ่งบอกให้รู้ว่าจีนก้าวล้ำนานาประเทศไปไกลมาก

แค่บูธที่จัดโชว์สินค้า “เมด อิน ไชน่า” ก็ใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม บริษัทยักษ์ๆ ของโลกตะวันตกต้องถอยหนี มีแค่บูธเล็กๆ ตั้งเป็นหย่อมๆ เทียบกันไม่ติด

พนักงานของจีนประจำในแต่ละบูธเป็นเด็กรุ่นหนุ่มรุ่นสาวใช้ภาษาสื่อสารกับผู้มาร่วมงานจากทั่วโลกได้อย่างคล่องแคล่ว อธิบายด้วยศัพท์แสง แสดงให้เห็นถึงความรอบรู้สามารถเก่งกาจ

อย่างเช่น บูธเมืองอัจฉริยะหรือสมาร์ตซิตี้ พนักงานบรรยายความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมาร์ตซิตี้เพื่อทำให้คนในเมืองนั้นๆ อยู่อย่างสุขสบายปลอดภัย มีสิ่งแวดล้อมสวยงามยั่งยืนได้อย่างไร

สมาร์ตซิตี้ใช้เอไอควบคุมการขนส่งการจราจรให้คล่องตัวลดพิษ ประหยัดพลังงาน ระบบจัดการขยะ เอาถังขยะติดเซ็นเซอร์ให้เอไอคำนวณเวลาไหนจัดเก็บขยะที่เหมาะสม ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ มีระบบตรวจสอบติดตามสุขภาพของประชาชนในพื้นที่นั้นๆ พร้อมระบบเตือนภัยป้องกันการระบาดของเชื้อโรค เอไอควบคุมระบบจัดเก็บระบายน้ำ ระบบประปา

ภายในสมาร์ตซิตี้ยังมีระบบการเรียนการสอนอัจฉริยะให้เด็กๆ เยาวชนเข้าถึงองค์ความรู้ในทุกมิติ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยทั้งในห้องเรียน สอนทางไกลเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลก็ติดต่อกับครูได้ตลอดเวลา

 

ทําไมจีนถึงก้าวล้ำไปไกล

ก็เพราะรัฐบาลจีนส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มที่ เมื่อปี 2567 จีนสร้างโรงงานระบบดิจิทัลและระบบสมาร์ตเกือบ 1 หมื่นแห่ง

เทคโนโลยีเอไอเข้าถึงภาคการผลิตแปลงเป็นสินค้า “เมด อิน ไชน่า” วางขายทั่วโลก

เห็นความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีของจีนแล้วหันมามองย้อนมองดูไทยช่างน่าหดหู่ประเมินได้ว่าเราล้าหลังจีนไม่น้อยกว่า 30-40 ปี

เราไม่มีสินค้าเมด อิน ไทยแลนด์ที่ไปอวดโฉมให้โลกตะลึงเหมือนอย่างจีน

จุดขายของเราเก่าๆ มีแค่ท่องเที่ยว ข้าว ยางพารา นับวันมีแต่เสื่อมถอยเพราะการวิจัยพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์มีน้อยมาก

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เศรษฐกิจของไทยตกต่ำ ตลาดหุ้นทิ้งดิ่ง การค้าการขายทรุดลง คนจนเพิ่มขึ้น คนรวยมีแค่กระจุกเดียว ระบบการศึกษาถอยหลังเข้าคลอง ขีดความสามารถในการแข่งขันของเด็กเยาวชนลดลงฮวบฮาบอย่างน่าใจหาย

คำถามที่ว่าทำไมเมืองไทยจึงย่ำแย่อย่างนี้? ค้างเติ่งอยู่ในสมองมานานนับสิบปี

หรือเป็นเพราะเราติดกับดักความแตกแยกทางการเมือง คิดแต่แย่งชิงอำนาจ มีผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ไร้ความสามารถมาบริหารประเทศ ระบบราชการใหญ่โตเทอะทะทำงานอืดอาด ไม่ได้ช่วยขับดันให้เกิดความเจริญก้าวหน้า คิดเพียงสนับสนุนพวกพ้องฉ้อโกงคอร์รัปชั่นกันแหลกลาญไม่สนบ้านเมืองจะเจ๊งพินาศ

ไหนๆ พูดถึงความก้าวหน้าของจีน ก็ขอนำวิสัยทัศน์ของ “สี จิ้น ผิง” ประธานาธิบดีจีนในเรื่องการพัฒนาสิ่งแวดล้อมมาเล่าสู่กันฟัง

 

เป็นที่ทราบกันดีว่าประธานาธิบดีสีหลงใหลในความเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่ม ในเวลานั้นจีนกำลังปฏิวัติวัฒนธรรม สีเป็นลูกชายของอดีตรองนายกรัฐมตรี โดนบีบให้ออกจากบ้านหรูในกรุงปักกิ่งไปใช้ชีวิตในชนบททำไร่เลี้ยงสัตว์มณฑลชานซี

เมื่อ “สี” เข้ามาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำมณฑลเจ้อเจียง เดินทางไปเยี่ยมหมู่บ้านชื่อ “อี๋ว์ชุน” อำเภออันจี้ พร้อมกับเสนอแนวคิดว่าด้วย “เขาเขียวน้ำใสคือภูเขาเงินภูเขาทอง”

“สี” เชื่อว่า หากนำความได้เปรียบทางนิเวศและสิ่งแวดล้อมไปแปรเป็นความได้เปรียบทางนิเวศเศรษฐกิจ เช่น เกษตรกรรมเชิงนิเวศ อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หากทำได้เช่นนี้แล้ว เขาเขียวน้ำใสจะแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาเงินภูเขาทอง

15 ปีต่อมา “สี” ไปตรวจเยี่ยมหมู่บ้านอี๋ว์ชุนอีกครั้ง ระหว่างนั้นเดินเลียบถนนในหมู่บ้าน เบื้องหน้าเป็นภูเขาเขียวขจี ธารน้ำไหลเอื่อยๆ หนทางสะอาดสะอ้าน ทุกครัวเรือนอยู่อาศัยในอาคารสวยงาม

“สี” ดีใจมากที่เห็นหมู่บ้านนี้เป็นไปตามแนวคิดการพัฒนาสีเขียว เป็นการเลือกที่ถูกต้องและควรเดินตามแนวคิดนี้ต่อไป

ศิลาจารึกบนก้อนหินใหญ่ทางเข้าหมู่บ้านอี๋ว์ชุน อำเภออันจี๋ มณฑลเจ้อเจียง เป็นอักษรจีน 10 ตัว ความว่า “เขาเขียวน้ำใสคือภูเขาเงินภูเขาทอง” (ที่มาภาพ : china radio international)

ปี 2556 “สี” เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ระหว่างนั้นได้เสนอแนวคิดว่าด้วยอารยธรรมทางนิเวศวิทยา (the vision of ecological civilization) มีเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร แต่การบรรลุเป้าหมายต้องดำเนินนโยบาย แนวทางและต้องบังคับใช้ทางกฎหมายอย่างเข้มงวด

ในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 18 จีนปรับรื้อกฎหมาย เขียนนโยบายใหม่ๆ ด้านคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แผนปฏิบัติการป้องกันมลพิษทางอากาศ แผนปฏิบัติการป้องกันมลพิษทางน้ำและแผนป้องกันมลพิษเปื้อนในดิน

รัฐบาลจีนภายใต้การนำของ “สี” ชูวิสัยทัศน์การส่งเสริมความก้าวหน้าทางนิเวศวิทยาพร้อมกับคำขวัญ “เคารพ ปกป้องและสอดคล้องกับธรรมชาติ”

เราจึงเห็นได้ว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จีนเร่งพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น เช่น การใช้มาตรการทางกฎหมายคุมเข้มโรงงานอุตสาหกรรม คุมเข้มรถยนต์เพื่อลดมลพิษทางอากาศในกรุงปักกิ่งจนอากาศสะอาดขึ้นมากและได้เสียงชื่นชมจากนานาชาติ

หรืออีกตัวอย่าง กรณีที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการทางกฎหมายห้ามนำเข้าขยะต่างชาติเมื่อปี 2561 ทำให้ปัญหาขยะล้นเมืองสร้างมลพิษ แม่น้ำลำคลองเปื้อนสารอันตราย ควันพิษพ่นโขมงก็ลดลง

ฉายา “จีนคือถังขยะโลก” เลือนหายไป

 

ประธานาธิบดี “สี” บอกว่า การปกป้องสิ่งแวดล้อมคือการปกป้องผลผลิต การปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ดีขี้นนั่นหมายถึงการเพิ่มผลผลิต

การพัฒนาสิ่งแวดล้อม หรือ Green Development การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของจีนวันนี้ เพราะเชื่อว่านำสังคมไปสู่คุณภาพสูงทันสมัย ช่วยให้เกิดความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนกับประเทศอื่นๆ มากยิ่งขึ้น

จีนมุ่งเน้นการลงทุนวิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ผลิตแผงโซลาร์เซลล์ อุปกรณ์ด้านพลังงานลม แบตเตอรี่รถยนต์ อุปกรณ์จัดเก็บพลังงาน พร้อมกับจับมือกับบริษัทที่เป็นพันธมิตรกว่า 170 รายใน 40 ประเทศเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

ผลิตภัณฑ์ “เขียว” เติบโตเร็วมาก ปีที่แล้ว จีนผลิตและขายรถยนต์พลังงงานใหม่หรือเอ็นอีวี (new-energy vehicle) คิดเป็นสัดส่วน 79.7 เปอร์เซ็นต์ของยอดรวมรถยนต์ประเภทเดียวกันของทั้งโลก ถือเป็นผู้นำระดับโลกเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยอดขายทะลุ 2 ล้านคันเป็นครั้งแรก

เฉพาะเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เอ็นอีวีที่ขายในจีนแห่งเดียวมากถึง 686,000 คัน ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-อิออน จีนผลิตส่งขายทั่วโลก 3,910 ล้านแท่ง ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์ส่งออกได้มากถึง 820 ล้านแผง ทำยอดยอดขายกว่า 200,000 ล้านหยวน

อุตสาหกรรมยานยนต์ของจีนตั้งเป้าไว้ว่าจะร่วมกันผลิตรถพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน 35 ปี ในปี 2568 จีนจะผลิตและขายเอ็นอีวีให้ได้สัดส่วน 45% ของยอดขายในประเทศ ในปี 2573 จีนจะมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าวิ่งอยู่ในถนนมากถึง 60%

เมื่อมีเอ็นอีวีวิ่งบนถนนมากขึ้น การเพิ่มสถานีชาร์จแบตเตอรี่เป็นสิ่งจำเป็น ช่วงปีที่แล้ว จีนติดตั้งเครื่องชาร์จ 3.28 ล้านเครื่อง

 

ตลาด “เขียว” ยังเติบโตไม่หยุด จีนจึงมุ่งผลักดันให้บริษัทต่างๆ ร่วมกันลงทุนวิจัยพัฒนาสินค้าเขียวมากกว่าที่เป็นอยู่ ดึงบริษัทที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกัน อย่างเช่น โมร็อกโก ซึ่งสร้างสวนอุตสาหกรรมรองรับการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์และให้บริษัทแบตเตอรี่ของจีนเข้าไปใช้บริการพร้อมกับวิจัยพัฒนาสินค้า แลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้

บริษัท ตงเฟิงมอเตอร์ (Dongfeng Motor) เป็นผู้ผลิตรถยนต์ของรัฐบาลจีน เซ็นสัญญากับรัฐบาลอียิปต์ ร่วมกันผลิตรถเอ็นอีวีขายในอียิปต์

ในทวีปแอฟริกานั้น จีนเข้าไปลงทุนเรื่องของพลังงานเขียวมากเป็นพิเศษเพราะเชื่อว่าทวีปนี้มีความต้องการสินค้าเขียวมากขึ้น

ประธานาธิบดีสี สั่งยกเลิกโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินในต่างประเทศแล้วหันมาจับมือกับประเทศต่างๆ ปรับปรุงโครงสร้างพลังงานสีเขียว ทำโรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดค่าใช้จ่ายพลังงาน มุ่งสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ

ในแถบตะวันออกกลาง จีนจับมือกับบริษัทผลิตแผงโซลาร์เซลล์ “อาระเบีย อัล ชัวอิบาห์” ของซาอุดีอาระเบีย และบริษัทอัล ดาห์ฟรา ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีนร่วมสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในโลก

มองภาพรวม “จีน” ก้าวล้ำไปมาก ขณะเดียวกันการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด “จีนสวยงาม” จะทำให้เป็นจริงภายในปี 2578 เมื่อถึงเวลานั้นทั่วทั้งประเทศจีนจะมีท้องฟ้าสีคราม ภูเขาเขียวขจี น้ำใสสะอาด

นี่จะเป็นสิ่งปกติใหม่ที่โลกต้องหันไปมองด้วยความทึ่ง •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]