ธงชัย วินิจจะกูล : จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ช่วยเหลือแก้ปัญหานักโทษการเมือง

ธงชัย วินิจจะกูล

บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเรื่อง ขอให้ช่วยเหลือแก้ปัญหานักโทษการเมือง

 

ผมขอเรียนตรงไปตรงมาไม่ต้องอ้อมค้อมยืดยาวว่า ผมขอร้องให้รัฐบาลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวนายกรัฐมนตรีเองยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหานักโทษการเมืองในประเทศไทยขณะนี้อย่างจริงจัง

ขอร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือคืนความเป็นธรรมกับพวกเขา

ขั้นสูงคือ ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ให้ผ่านสภาให้จงได้ ซึ่งต่อให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วย ก็ยังสามารถทำได้โดยร่วมมือกับพรรคฝ่ายค้าน

ขั้นต่ำคือ กระทำทุกวิถีทางในกรอบอำนาจที่นายกฯ และรัฐบาลสามารถทำได้ ผลักดันให้พวกเขาได้รับการประกันตัวออกมาอยู่นอกคุกทั้งหมด คนที่ถูกตัดสินแล้วก็ได้รับการช่วยเหลือลดโทษโดยเร็วที่สุด

ท่านนายกฯ คนในคณะรัฐบาลและผู้อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้คงหัวเราะเยาะว่าผมช่างไร้เดียงสา เสนอสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ว่ายากเสียจนแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะหักกับพรรคร่วมรัฐบาล

คนอีกไม่น้อยคงเห็นว่ารัฐบาลและเพื่อไทยเองไม่เคยตั้งใจจะผลักดันการนิรโทษกรรมหรือช่วยเหลือนักโทษการเมืองแต่อย่างใด ท่าทียึกยักว่าอุปสรรคอยู่ที่พรรคร่วมฯ เป็นเพียงการโทษคนอื่นเพื่อไม่ให้ตนเสียหน้า ผมไร้เดียงสาเพราะขอผิดคน ไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า

สำหรับคนกลุ่มหลัง ผมยังไม่มองเพื่อไทยแง่ร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยเพื่อไทยก็มีคนหนุ่มสาวและปัญญาชนปีกประชาธิปไตยอยู่ หลายคนเป็นเพื่อนกับคนในคุก เคยร่วมต่อสู้กันมา เคยเปล่งคำสัญญาว่าจะแก้หรือกระทั่งยกเลิก ม.112 และคัดค้านการจับกุมผู้มีความคิดต่างจากรัฐ

ถ้าคนเหล่านี้ยังไม่ทรยศเพื่อนหรือทรยศตัวเอง เขาควรจะช่วยผลักดันให้พรรคเพื่อไทยพยายามช่วยเหลือนักโทษการเมือง

 

สําหรับคนกลุ่มแรก (และกลุ่มหลังที่เห็นว่าการช่วยทุกวิถีทางไม่ให้เพื่อไทยหลุดจากอำนาจสำคัญกว่าเพื่อนหรือคำสัญญาของตน) ผมเห็นว่าพวกเขากำลังถูกการเมืองที่เป็นพิษดูดเข้าไปกักตัวในวังวนของมันจนสมองฝ่อคิดนอกเหนือ Realpolitik ไม่เป็นอีกแล้ว

ผมไม่ได้ไร้เดียงสาทางการเมืองถึงขนาดไม่รู้จัก Realpolitik แต่ผมเห็นว่ามันคืออุปสรรคขัดขวางการหาทางแก้ปัญหานักโทษการเมือง เพราะ Realpolitik ใน 20 ปีที่ผ่านมาเป็นการเมืองแบบไร้หลักการ ไร้จริยธรรม ไร้ความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูก จึงเป็นส่วนหนึ่งของต้นตอปัญหา แถมสั่งสมทับถมขึ้นเรื่อยมานานปี เช่นนี้แล้ว เราจะยังหวังให้แก้ปัญหาในกรอบของ Realpolitik ได้อย่างไรกัน

ใครจะว่าผมไร้เดียงสาก็ช่าง แต่ผมกลับคิดว่าท่านทั้งหลายที่คิดแบบนั้นต่างหากที่ตกอยู่ในหลุมดำของการเมืองที่เป็นพิษจนเอาตัวเองออกมาไม่พ้น ท่านเหล่านั้นต่างหากที่ไร้เดียงสาขนานแท้ เพราะนอกจากจะไม่เห็นทางออกแล้วยังกลับหลงตัวเองว่าฉลาด มองไม่เห็นความโหดร้ายและขี้ขลาดตาขาวของตนอีกด้วย

ผมจึงอยากชวนให้ท่านนายกฯ คิดออกนอกกรอบนอกกล่องที่กักขังพวกท่านอยู่ พยายามอย่ากังวลอยู่กับการชิงไหวชิงพริบและผลการเมืองระยะสั้น อย่าเริ่มจากพรรคใดจะได้หรือเสีย อย่าเริ่มจากความกลัวรัฐบาลจะล่ม

ลองถอยห่างออกมา แล้วเริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่านักโทษการเมืองเหล่านั้นทุจริต ประกอบอาชญากรรม ทำผิดร้ายแรงหรือ? ไม่เลย

คนที่โดนฟ้องโดนลงโทษด้วย ม.112 ความผิดของเขาอยู่ที่ความคิด ยังไม่เคยมีข้อพิสูจน์แต่อย่างใดว่าความคิดเช่นนั้นทำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อราชอาณาจักร นักโทษการเมืองสมัยนี้เป็นเพราะเขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย หลายคนถูกฟ้องถูกตัดสินมีความผิดโดยการใช้กฎหมายอย่างผิดๆ ตีความเกินเลย กระบวนการที่ไม่ยุติธรรม ฯลฯ แทบทั้งหมดเป็นผลจากการเมืองที่เป็นพิษที่ทำให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว

ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมเป็น “ช้าง” อีกตัวในสังคมไทยที่ผู้มีอำนาจทุกแขนงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

ผมจึงขอชวนให้ท่านนายกฯ รัฐบาลและผู้อ่าน คิดต่างจากเดิม โดยเริ่มต้นจากสามัญสำนึกว่าอะไรผิด อะไรเป็นธรรม เริ่มต้นจากความเห็นใจและมนุษยธรรมที่ผมมั่นใจว่าเราท่านทุกคนยังมีอยู่

เราจะตระหนักว่านักโทษการเมืองเหล่านั้นคือเหยื่อของการเมืองที่ผิดปกติ พวกเขาพยายามผลักดันให้ประเทศไทยออกพ้นจากภาวะผิดปกติดังกล่าว ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนมีโอกาสจะโดนลงโทษทางกฎหมาย

การช่วยเหลือนักโทษการเมืองในปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำเพื่อลบล้างผลของการเมืองที่เป็นพิษใน 20 ปีที่ผ่านมา

ผมขอให้ท่านยึดถือความคิดความเข้าใจเช่นนี้ไว้ให้มั่น แล้วช่วยกันหาทางช่วยพวกเขาในขั้นต่ำขั้นสูงตามที่เสนอแต่ต้น อย่าปล่อยหลักที่ยึดถือไว้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะถูกผลักถูกดูดด้วยความฉลาดแบบไร้เดียงสาที่เรียกว่า Realpolitik หรือด้วยอะไรก็ตาม

ยึดถือว่าการช่วยเหลือนักโทษการเมืองเป็นความสำคัญอันดับต้นๆ แล้วมาช่วยกันหาทางออก

 

แต่ทว่า…คำตอบของท่านที่ผมเดาได้ล่วงหน้าก็คือ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม อย่าแทรกแซง

นี่เป็นคำตอบตามสูตรสำเร็จซึ่งใช้ไม่ได้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

รัฐบาลไม่ควรแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในภาวะปกติเป็นหลักการที่ถูกต้อง แต่นักโทษการเมืองในขณะนี้เป็นผลเนื่องมาจากกระบวนการยุติธรรมในภาวะที่ผิดปกติ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางภาวะวิกฤตทางการเมืองใน 20 ปีที่ผ่านมาจนเกิดการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองบ่อยครั้งมาก

ภายใต้บริบทที่ผิดปกติ มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อรับใช้ระบอบเผด็จการ รับใช้อภิสิทธิ์ชนและชนชั้นนำผู้มีอำนาจอยู่เป็นประจำ จำนวนมากอ้างความมั่นคงในราชอาณาจักรเป็นเหตุผล จนถึงขนาดบีบคั้นให้ผู้พิพากษาประท้วงด้วยชีวิตของตนก็เกิดขึ้นแล้ว

ภายใต้บริบทนี้ มีการอ้างความมั่นคง เพื่อปราบปรามผู้ต่อสู้ประท้วงรัฐและคิดต่างจากรัฐ ถูกฟ้องถูกดำเนินคดีอย่างไม่ควรต้องเกิดขึ้น ส่วนมากถูกปฏิเสธสิทธิประกันตัว หลายคดีถูกฟ้องและตัดสินอย่างน่าสงสัย บ่อยครั้งด้วยเหตุผลที่เชื่อไม่ได้สนิทใจ หรือด้วยการตีความกฎหมายอย่างผิดมาตรฐาน หรือด้วยวิธีพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรม

สักวันหนึ่งเมื่อประชาธิปไตยของประชาชนตั้งมั่น ควรต้องมีการสะสางกระบวนการยุติธรรมโดยรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อยืนยันหลักการพื้นฐานของระบอบกฎหมายเป็นใหญ่ที่จะต้องพิทักษ์ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด

แต่ ณ วันนี้ สิ่งที่รัฐบาลและรัฐสภาน่าจะทำได้คือบรรเทาความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นไปแล้ว สะสางปัญหาให้ลดลงอย่างเร่งด่วน

คืนความยุติธรรมให้แก่นักโทษการเมือง คืนเสรีภาพให้พวกเขา คืนพ่อแม่ให้กับลูก คืนคนในครอบครัวให้ผู้ที่รอคอย อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลควรมีนโยบายชัดเจนว่าไม่คัดค้านการประกันตัว สนับสนุนให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่จากข้างนอกเรือนจำ

โปรดตระหนักว่าประชาชนมีสติปัญญารู้ดีว่าคำตอบตามสูตรสำเร็จดังกล่าวเป็นแค่การปัดปัญหาให้พ้นตัว เพราะผู้มีอำนาจได้แทรกแซงอีกหลายกรณีที่เกี่ยวพันกับพรรคพวกและคนในครอบครัวของตน การตอบตามสูตรสำเร็จเพื่อปัดให้พ้นตัวจึงกลับเป็นการประจานตัวเองหนักเข้าไปอีก เพราะทำให้ผู้คนเห็นว่ารัฐบาลเห็นแก่พรรคพวกของตน แต่ไม่เคยแคร์ผู้เสียสละต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยช่วยให้ตนมีอำนาจแต่อย่างใด

คำตอบตามสูตรสำเร็จจึงมีความหมายว่า “คนเหล่านั้นไร้ประโยชน์แล้ว ช่างหัวพวกมัน” ผมเชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ปรารถนาจะได้ฉายาว่าเป็น “รัฐบาลช่างหัวมัน”

 

สังคมไทยและรัฐบาลจะได้อะไรจากการแก้ปัญหานักโทษการเมือง?

เหยื่อของการเมืองเป็นพิษนี้มีอยู่เป็นปกติในโลก ในประเทศที่เคารพสิทธิพลเมือง พวกเขาจะได้รับการผ่อนปรนทั้งจากรัฐและจากกระบวนการยุติธรรม เพราะตระหนักดีว่าผู้ประท้วงทางการเมืองเหล่านี้มิใช่อาชญากรที่กระทำความผิดร้ายแรงหรือมีเจตนาทุจริต ตรงกันข้ามคนเหล่านี้แทบทั้งหมดเป็นคนที่มีจิตสำนึกต้องการรับใช้สาธารณะ อยากให้สังคมดีขึ้น ถึงขนาดยอมเสี่ยงและเสียสละตนเองทำการประท้วงแบบนี้

ถ้าคุกมีไว้เพื่อบำบัดให้คนทำผิดเป็นคนดีขึ้น คุกไม่ใช่ที่สำหรับคนเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะต้องบำบัด คุกไม่สามารถทำให้พวกเขาให้เป็นสุจริตชนที่กล้าหาญเพื่อประโยชน์สาธารณะได้มากไปกว่านี้

สังคมไทยไม่ควรเสียพลังของอนาคตเหล่านี้ไปแม้แต่คนเดียวและแม้แต่อีกวันเดียว ข้อนี้ดูจะเป็นสิ่งที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่ลองพิจารณาช้าๆ…ให้ละเอียดถี่ถ้วน…จะพบว่าประโยชน์ข้อนี้มหาศาลเกินกว่าถ้อยคำใดๆ

สำหรับรัฐบาล คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่าถ้าหากรัฐบาลกล้าหาญเข้ามาจัดการปัญหานักโทษการเมือง รัฐบาลจะได้ความนิยมเพิ่มขนาดไหน ในภาวะที่ผลงานรัฐบาลไม่ค่อยมี แถมนักแบกทำให้ผู้คนรังเกียจรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย หากรัฐบาลอยากสร้างผลงานที่น่าภาคภูมิใจ รัฐบาลควรสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับสังคมไทยด้วยการลงมือจัดการปัญหานักโทษการเมืองด้วยความกล้าหาญอย่างคาดไม่ถึง ชนิดที่คนรังเกียจรัฐบาลจำนวนมากจะต้องยอมยกนิ้วไห้

ความประทับใจที่คนเหล่านี้จะมีให้แก่ท่านจากการช่วยเหลือนักโทษการเมือง จะเป็นพลังสำคัญในภาวะที่รัฐบาลกำลังถูกข่มจากพรรคร่วมรัฐบาลกันเองย่างทุกวันนี้

ได้โปรดอย่าชักช้ารอจนสังคมไทยต้องสูญเสียพลังของอนาคตอย่างเช่น “ขนุน” สิรภพไปอีกคน

หากเป็นเช่นนั้น รัฐบาลอาจจะเจอเซอร์ไพรส์ในทางตรงข้ามเข้าสักวัน

 

ขอแสดงความนับถือ

นายธงชัย วินิจจะกูล

ประชาชนคนหนึ่ง