ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | Agora |
ผู้เขียน | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์ |
เผยแพร่ |
Agora | กฤตภาศ ศักดิษฐานนท์
วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
www.facebook.com/bintokrit
อนาคตของวงการฟุตบอลไทย
ในยุคมาดามแป้ง
เมื่อวันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่สะเทือนวงการฟุตบอลไทย 2 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกคือ การออกมาเปิดเผยข้อมูลอื้อฉาวจากปากของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฟุตบอลไทยคนปัจจุบัน ในการแถลงผลงานของสมาคมฟุตบอลไทยหลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งครบ 1 ปี
พร้อมประกาศว่าจะดำเนินการฟ้องไล่เบี้ยคืนจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ คนเก่าและสภากรรมการชุดที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องที่สองคือ การที่สโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ดสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการฟุตบอลไทย โดยสามารถผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายในรายการเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก อีลีต (ACL Elite 2024-2025) ด้วยการบุกไปเอาชนะสโมสรยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิมจากประเทศมาเลเซีย ไปได้ถึงถิ่นสุลต่าน อิบราฮิม สเตเดียม 0:1 จากประตูชัยของ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งทีมชาติไทย
เรื่องที่สองแม้จะน่าตื่นเต้นดีใจเพียงใดแต่ก็ไม่อาจสร้างผลสะเทือนต่อวงการฟุตบอลไทยโดยรวมได้มากเท่ากับเรื่องแรก ซึ่งอาจกระทบกระเทือนรุนแรงถึงขั้นทำให้สมาคมฟุตบอลไทยล่มสลายได้เลยทีเดียว
โดยมาดามแป้งได้แถลงผลงานของสมาคมฟุตบอลไทยตลอดขวบปีที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง ซึ่งแยกออกมาได้ 11 ด้าน
ได้แก่ 1.ด้านกระแสทีมชาติไทย 2.ด้านไทยลีก 3.ด้านการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมฟีฟ่าคองเกรส 4.ด้านการบริหารสมาคมฯ ซึ่งสามารถคว้ารางวัลสมาคมฟุตบอลยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียหรือ AFC ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี 5.ด้านต่างประเทศ 6.ด้านฟุตบอลหญิง 7.ด้านฟุตบอลเยาวชน 8.ด้านฟุตซอล 9.ด้านฟุตบอลชายหาด 10.ด้านผู้ตัดสิน และ 11.ด้านการอบรมโค้ช
ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละด้านมีผลงานอะไรบ้างสามารถติดตามได้จากข่าว “รอบด้าน! มาดามแป้ง แถลงผลงาน นั่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ หลังผ่าน 1 ปี” ทางลิงก์ https://www.matichon.co.th/sport-slide/news_5086998
แต่ไฮไลต์เด็ดที่ดึงดูดความสนใจจากทั้งสื่อมวลชนและประชาชนทั่วประเทศไปตกอยู่ที่เรื่องหนี้สินและคดีความระหว่างสมาคมฟุตบอลฯ กับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยของสมาคมฟุตบอลฯ ชุดเก่าในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จากการไปยกเลิกสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท สยามสปอร์ตฯ
กลายเป็นมหากาพย์ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งขุดก็ยิ่งเจอความไม่ชอบมาพากลมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยมีคดีความที่ฟ้องร้องกันในศาลเป็น 2 คดีหลัก
คือคดีที่สยามสปอร์ตฟ้องสมาคม และคดีที่สมาคมฟ้องร้องสยามสปอร์ต ซึ่งทั้งสองคดีต่างก็สิ้นสุดกระบวนการในชั้นศาลไปหมดแล้ว
ปรากฏว่าสมาคมชุดเก่าแพ้ทั้งหมด ทำให้ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่สยามสปอร์ตเป็นเงิน 360 ล้านบาท ยังไม่รวมกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้อีกซึ่งคำนวณแล้วไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่น่าตกใจอีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องหนี้สินที่ตกค้างอยู่ในปัจจุบัน 132 ล้านบาท เรื่องที่สมาคมไปกู้ยืมมาจากฟีฟ่าราวๆ 155 ล้านบาท
เรื่องการที่นายกสมาคมคนเก่ารับเงินเดือนสองทางจากสมาคมฟุตบอลฯ เองและจากบริษัท ไทยลีก ทั้งๆ ที่นายกสมาคมทุกคนในอดีตที่ผ่านมารวมทั้งคนปัจจุบันไม่มีใครรับเงินเดือนจากสมาคมฟุตบอลฯ ได้ เพราะถือว่าเป็นการอาสาเข้ามาทำงาน
ดังนั้น นายกสมาคมคนที่แล้วคือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จึงเป็นเพียงคนเดียวที่รับเงินในส่วนนี้ทั้งๆ ที่ไม่สามารถไปรับได้
ซึ่งตามข้อมูลจากข่าว “แป้ง แฉสมาคมบอลยุคเก่า กู้เงินฟีฟ่า 155 ล้าน พบพิรุธเงินค่าทนาย 30 ล้าน” ทางลิงก์ https://www.matichon.co.th/sport/news_5086948 ซึ่งได้ระบุคำพูดของมาดามแป้งเอาไว้ว่า
“นายกคนเก่าได้รับเงินเดือนจากสมาคมและไทยลีกเดือนละ 1 ล้านบาท ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยทำการตรวจสอบแล้วพบว่าต้องคืนให้สมาคมฯ 32 ล้านบาท แต่เท่าที่ตรวจหลักฐานยังไม่ได้รับคืนมาแต่อย่างใด ก็จะต้องไปตามเงินก้อนนี้คืนมาเช่นกัน”
การข่าวข้างต้นยังได้เผยเรื่องสิทธิประโยชน์ที่สมาคมชุดเดิมได้ยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตแล้วไปทำสัญญายาวไปถึงปี พ.ศ.2571 กับบริษัท แพลนบี
รวมทั้งเรื่องที่ช็อกผู้คนที่สุดอีกเรื่องหนึ่งก็คือสมาคมฟุตบอลในยุค พล.ต.อ.สมยศได้ขายลิขสิทธิ์ข้อมูลให้แก่บริษัทในประเทศมาเลเซียไปแล้ว ซึ่งสมาคมฟุตบอลชุดปัจจุบันพยายามติดต่อขอซื้อคืนกลับมาแต่ก็ไม่สำเร็จ
สำหรับประเด็นนี้เนื้อข่าวดังกล่าวได้อ้างถึงคำพูดของมาดามแป้งที่ได้กล่าวว่า
“ประเด็นสัญญาสิทธิประโยชน์กับแพลนบี สมาคมเดิมต่อเอาไว้จนถึงปี 2571 ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดปัญหาเดียวกับที่เกิดขึ้นกับสยามสปอร์ต จึงมีการเจรจาปรับสัญญาใหม่ให้สมาคมได้สิทธิประโยชน์มากขึ้น ลดรายได้ของแพลนบีลง และดึงสิทธิบางอย่างกลับมาเป็นของสมาคม นอกจากนี้ ยังมีการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจากต่างประเทศคืนกลับมา แต่ว่ามีสิ่งที่ไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้ก็คือ Data Analysis (การวิเคราะห์ข้อมูล) เพื่อนำข้อมูลไปสู่ Betting Live (การพนันออนไลน์) ซึ่งขายให้กับบริษัทจากมาเลเซียไป ไม่สามารถซื้อคืนได้”
ดูเหมือนว่าสมาคมชุดเก่าจะเต็มไปด้วยเรื่องเร้นลับที่ซุกอยู่ใต้พรมเป็นจำนวนมากที่ยิ่งรื้อค้นก็ยิ่งส่งกลิ่นชวนสงสัยเข้าไปเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น กรณีค่าจ้างทีมทนายความที่มีตัวเลขน่าพิศวงว่าทำไมจึงมีค่าจ้างที่สูงแบบผิดปกติเช่นนี้ สมาคมชุดเก่าไม่เพียงแต่แพ้ราบคาบในคดีความ หากแต่ยังจ่ายเงินให้ทีมทนายความอย่างไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย จนนำไปสู่การขุดคุ้ยตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าอาจเข้าข่ายฟอกเงินหรือไม่
ซึ่งตามข่าวข้างต้นนั้นมาดามแป้งได้กล่าวว่า
“คณะตรวจสอบทรัพย์สินยังได้พบประเด็นสำคัญในคดีที่สมาคมฯ ฟ้องสยามสปอร์ต ในข้อหาหรือฐานความผิดสัญญาสิทธิประโยชน์, ลิขสิทธิ์ แต่คดีนี้ถูกศาลอุทธรณ์ยกฟ้องและศาลฎีกาไม่รับตีความ ทว่าในข้อตกลงที่จ่ายให้กับทนายความนั้น ตั้งไว้ที่ศาลชั้นต้น 7.5 แสนบาท และเพิ่มในชั้นอุทธรณ์กับฎีกาชั้นละ 3 แสนบาท ทว่ากลับจ่ายไปทั้งหมด 30 ล้านบาท จึงมองว่าอาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงอะไรกับเงินก้อนนี้ ฉะนั้นก็จะดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับสมาคมฯ”
มาดามแป้งกล่าวทั้งน้ำตาที่นองหน้าว่าขอความเห็นใจ ขอกำลังใจ เพื่อต่อสู้แก้ไขในสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ
แต่เพื่ออนาคตของสมาคมฟุตบอลไทยซึ่งเป็นองค์หลักของวงการฟุตบอลไทย และในฐานะที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนปัจจุบันจึงไม่อาจทนเห็นฟุตบอลไทยล่มสลายลงไปกับตาได้ และจะต่อสู้อย่างถึงที่สุดในการรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของวงการฟุตบอลไทยในครั้งนี้
การแถลงข่าวผลงานของสมาคมฟุตบอลไทยในรอบ 1 ปีจบลงตรงดราม่าที่น่าตกตะลึงว่าท้ายที่สุดอนาคตของวงการฟุตบอลไทยในยุคของมาดามแป้งจะคลี่คลายปัญหาอันหนักอึ้งที่ตกค้างมาจากยุคก่อนได้หรือไม่ อย่างไร ด้วยวิธีอะไร
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้เป็นเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่เพียงแต่เอาทรัพย์สิน เกียรติยศ และชื่อเสียงของมาดามแป้งที่สั่งสมมาทั้งชีวิตเข้าเสี่ยงเท่านั้น
หากแต่ยังมีชีพจรของวงการฟุตบอลไทยแขวนเอาไว้ด้วย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022