33 ปี ชีวิตสีกากี พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (116)

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

บทความพิเศษ | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์

 

33 ปี ชีวิตสีกากี

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (116)

 

ยืนหยัดสู้คดีผู้มีอิทธิพลข่มขู่

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2534 ได้เกิดเหตุมีกลุ่มมือปืนรับจ้าง ใช้อาวุธปืนยิงนายจำลอง พ่วงพี ที่บ้านเลขที่ 559 หมู่ที่ 4 บ้านศาลากันตง ถนนศุลกานุกูล ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล จนถึงแก่ความตาย อย่างอุกอาจในเวลากลางวัน แล้วคนร้ายได้หลบหนีไป

จากการสืบสวนสอบสวนทราบว่าคนร้ายเป็นมือปืนรับจ้างที่มีผู้มีอิทธิพลให้การสนับสนุนให้ที่หลบซ่อน

พยานหลักฐานที่รวบรวมได้สามารถออกหมายจับมือปืนรับจ้างได้ทั้ง 2 คน และติดตามสืบสวนจับกุมมือปืนคนแรกได้ คือ นายประชิต หรือชิต สว่างนิพัทธ์ เมื่อวันเวลาเกิดเหตุผ่านไปนานถึง 4 เดือน

ในระหว่างที่ทำการสอบสวนมือปืนคนแรกอยู่นั้น ผมได้รับการติดต่อจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคนให้ผมช่วยเหลือให้นายประชิตหรือชิต ได้รับการประกันตัวในระหว่างสอบสวน

แต่เพราะอาชีพของผู้ต้องหาคือมือปืนรับจ้าง เป็นอาชีพฆ่าคน อาชีพผมเป็นตำรวจ จึงเป็นศัตรูกันตลอดกาล คำตอบที่ได้รับคือ คำปฏิเสธจากผม

ถึงกระนั้น ก็ยังมีการโทรศัพท์มาข่มขู่ แต่ผมพยายามรวบรวมพยานหลักฐานจนแน่นหนามั่นคง ในที่สุดศาลจังหวัดสตูล ได้มีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายประชิต หรือชิต สว่างนิพัทธ์ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 การพิจารณาคดีใช้เวลานานนับปี

ส่วนมือปืนอีก 1 คนที่ยังหลบหนีอยู่ ตามวิสัยของพนักงานสอบสวน กัดแล้วต้องไม่ปล่อยโดยเด็ดขาด ผมใช้ความพยายามติดตามสืบสวนทุกวิถีทาง และความพยายามนั้นก็บรรลุผลสำเร็จจนได้

เมื่อผมสามารถจับกุมนายชรินทร์ หรือโรจน์ ลองพิชัย มือปืนรับจ้างคนที่ 2 ได้เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2536 นำตัวมาดำเนินคดีจนได้ และก็เป็นแบบเดิม มีกลุ่มผู้กว้างขวางพยายามวิ่งเต้นทุกหนทางเพื่อช่วยเหลือให้นายชรินทร์หรือโรจน์ ได้รับการประกันตัว

แต่เมื่อมือปืนรายสำคัญตกมาอยู่ในมือของผมแล้ว ยากมาก และอาจจะพูดออกมาเลยก็ได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะให้ประกันตัว เมื่อกล้าดีมายิงในพื้นที่ผมก็ต้องเจอดี

และด้วยพยานหลักฐานที่ผมรวบรวมมา ศาลจังหวัดสตูล ได้มีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตนายชรินทร์ หรือโรจน์ ลองพิชัย เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2537 เช่นเดียวกับนายประชิตหรือชิต

และความพยายามของนายประชิตหรือชิตต้องการดิ้นให้หลุดจากอาญาแผ่นดิน จึงได้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต อุทธรณ์ของนายประชิตหรือชิต ฟังไม่ขึ้น

ผมได้ตามสืบประวัติของมือปืนทั้ง 2 ราย หากินเป็นมือปืนรับจ้างอยู่ทางภาคใต้ตอนล่าง มีเหยื่อที่ต้องสังเวยคมกระสุนของมือปืนทั้ง 2 คนนี้หลายสิบศพ

และบทสรุปสุดท้ายคือบทลงโทษจากศาลจังหวัดสตูล

 

คดีนี้ มือปืนทั้ง 2 คนใช้อาวุธปืนสั้น ขนาด 11 ม.ม.คนละกระบอก เป็นอาวุธสังหาร บุกเข้าไปถึงในบ้านพักผู้ตาย แล้วกระหน่ำยิงต่อหน้าประจักษ์พยานหลายคน มีภรรยาผู้ตายรวมอยู่ด้วย

ผมไปตรวจที่เกิดเหตุ เก็บปลอกกระสุนปืนขนาด .45 หรือ 11 ม.ม.ได้ถึง 8 ปลอก และยังเก็บหัวกระสุนปืนขนาดเดียวกันได้อีก 4 หัว และผ่าจากศพผู้ตายได้อีก 1 หัว

ในการต่อสู้คดีในชั้นศาล ‘พ.อ.’ ซึ่งเป็นนายทหารนักการเมืองจากหาดใหญ่ ยังมาเบิกความให้การช่วยจำเลยอีกด้วย

นายประชิต ในอดีตเคยเป็นตำรวจประจำ สภ.อ.กะปง จ.พังงา แต่ถูกไล่ออกจากราชการ เพราะถูกศาลจังหวัดพังงาพิพากษาลงโทษจำคุก 12 ปี ในข้อหาปล้นทรัพย์ และยังถูกศาลจังหวัดพัทลุงพิพากษาปรับ ในข้อหาพกพาอาวุธปืน 2 กระบอก เมื่อปี พ.ศ.2534

ส่วนนายชรินทร์ หรือโรจน์ ลองพิชัย มีพี่ชายเป็นตำรวจ ตลอดเวลานับเป็นปีๆ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาล พยานล้วนถูกกดดัน ข่มขู่ให้กลับคำให้การ ผมต้องพยายามยืนยันและยืนหยัดให้พยานเบิกความตรงตามความเป็นจริง อย่าหวั่นไหวกับคำข่มขู่ และให้หลักประกันว่า เมื่อผมยังทำหน้าที่อยู่

ไม่มีสิ่งใดที่จะมาพลิกผมให้ละทิ้งความจริงไปได้ ผมมั่นคงเสมอ

 

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2534

มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ของผม จากเดิม ตำแหน่งสารวัตรสืบสวนสอบสวน รับผิดชอบทั้งงานสืบสวน และงานสอบสวน กรมตำรวจ กำหนดตำแหน่งใหม่ คือ สารวัตรสอบสวน สภ.อ.เมืองสตูล คำย่อคือ สวส.สภ.อ.เมืองสตูล รับผิดชอบเฉพาะงานสอบสวนด้านเดียว

ส่วนงานสืบสวน มีตำแหน่งใหม่เกิดขึ้นมา คือ สารวัตรสืบสวน สภ.อ.เมืองสตูล ตัวย่อคือ สว.ส.สภ.อ.เมืองสตูล

และนายตำรวจที่มาดำรงตำแหน่งใหม่นี้ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นผม เป็นอดีตนักกีฬาว่ายน้ำโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาด้วยกัน คือ ร.ต.อ.สัมบูรณ์ บัวสิงห์

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2534

ได้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาชื่อ นายอดุน หรือดุลย์ หรือดุล หวังชัย ดำเนินคดีในข้อหาปล้นทรัพย์

ผู้เสียหายเป็นภรรยาและเป็นเด็กหญิงบุตรของเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

เหตุเกิดผ่านมานานหลายปีแล้ว โดยเกิดเหตุเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2529 ผู้ต้องหาได้หลบหนีไปนานถึง 5 ปี 5 เดือนเศษ แต่ถึงแม้จะเนิ่นนานแค่ไหน ผมก็จะไล่ล่าผู้ต้องหามาดำเนินคดีให้จงได้ และจะไม่ให้พ้นเงื้อมมือของกฎหมายที่จะเอามาลงโทษ ผมได้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างเต็มที่

และในที่สุดศาลจังหวัดสตูล ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 24 ปี

ผู้ต้องหารายนี้มีพฤติกรรมที่เหี้ยมโหดมาก ในคืนที่เกิดเหตุที่เข้าทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้หญิงกำลังพักอาศัยอยู่กับบุตรสาว 2 คนในวัยที่ยังเป็นเด็กผู้หญิงเล็กๆ

ผู้ต้องหาได้ใช้อาวุธปืนสั้นทุบศีรษะผู้เสียหายจนบาดเจ็บ และคนร้ายอีกคนใช้เหล็กแหลมแทงศีรษะผู้เสียหายแล้วกระทืบซ้ำ

ส่วนคนร้ายที่เหลือไปปลุกเด็กหญิงที่กำลังนอน เด็กหญิงจึงร้อง คนร้ายจึงใช้เหล็กแหลมแทงศีรษะ

ส่วนเด็กหญิงบุตรสาวของผู้เสียหายอีกคน ถูกบีบคอไม่ให้ส่งเสียงร้อง และใช้มีดปลายแหลมขู่บังคับทุกคน

แล้วผู้ต้องหาได้ค้นหาทรัพย์สิน เมื่อไม่เจอ จึงกระชากเอาสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง จากคอผู้เสียหาย และกระชากเอาสร้อยคอนากกับพระเลี่ยมนากจากคอเด็กหญิงที่แขวนอยู่ หลุดติดมือไป

นอกจากนั้น ยังเอาวิทยุเทป นาฬิกาข้อมือ 3 เรือน กล้องถ่ายรูป ในห้องนอน

แล้วคนร้ายได้ใช้ผ้าขาวม้าที่เตรียมมา เชือก ถุงเท้า มัดมือมัดปากผู้เสียหายกับเด็กหญิงบุตรทั้งสองคนไว้ แล้วคนร้ายก็หลบหนีไป ผู้เสียหายได้พยายามแก้มัดจนหลุดแล้วไปแก้มัดให้กับบุตรทั้งสอง ต่อมามีเพื่อนบ้านช่วยนำผู้เสียหายและบุตรส่งโรงพยาบาล

ภาระของผมนั้น จะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่และสมบูรณ์ให้คุ้มกับเงินเดือนที่ผมได้รับทุกเดือนจากภาษีของประชาชน

 

วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2534

อีกแค่ 2 วันจะเป็นวันปีใหม่แล้ว แต่นางวรรณา หรือพร สิงห์นุ้ย กลับคิดจะไปใช้ชีวิตในคุกฉลองปีใหม่แทน

เมื่อได้ไปขออาศัยบ้านของผู้เสียหายพักค้างคืน ซึ่งเป็นร้านเสริมสวยชื่อร้านไอ-น้ำ ซาลอน เลขที่ 45/9 ถนนสตูลธานี ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล

ระหว่างที่ผู้เสียหายจัดที่หลับที่นอนบนบ้านชั้นสองให้นางวรรณาหรือพรกับบุตรเล็กๆ แล้วหาผ้าเช็ดตัวให้เรียบร้อย ผู้เสียหายกำลังจะเดินออกจากห้องนอนที่จัดให้นั้น นางวรรณาหรือพรก็ใช้มือทั้งสองข้างบีบคอผู้เสียหายจนหมดสติ แล้วลักเอาสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 1 เส้น หนัก 2 สลึง จำนวน 1 เส้น สร้อยข้อมือทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 1 เส้น แหวนทองคำหนัก 1 เฟื้อง 1 วง ต่างหูทองคำหนัก 1 สลึง จำนวน 1 คู่ แล้วนางวรรณาหรือพรก็พาบุตรเล็กๆ หลบหนีไป

ผมได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ พบสร้อยคอทองคำจำนวน 1 ท่อน ขาดตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จึงยึดไว้เป็นของกลาง

แล้วเช้ามืดของวันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2534 ร.ต.อ.สัมบูรณ์ บัวสิงห์ สารวัตรสืบสวน ก็ติดตามจับกุมตัวนางวรรณา หรือพร สิงห์นุ้ย ได้พร้อมกับทรัพย์ที่ลักไป นำกลับมาคืนผู้เสียหายได้ทั้งหมด ผมได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ในความผิดฐานชิงทรัพย์ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และศาลจังหวัดสตูล ได้พิพากษาลงโทษจำเลย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ลงโทษ จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง

คงจำคุก 6 ปี