ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ศัลยา ประชาชาติ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | ศัลยา ประชาชาติ
มาแล้ว Digital Wallet ของแท้!
รัฐบาลเดินหน้าลุย
แจกเงินหมื่นวัยรุ่น 16-20 ปี
รัฐบาลได้ฤกษ์ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นครั้งแรกของปี 2568 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความคาดหวัง “แพ็กเกจมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่”
ด้วยเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจไม่สู้ดี ทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
โดยนักเศรษฐศาสตร์เริ่มกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย จากการดำเนินนโยบายทางด้านภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
ขณะที่เศรษฐกิจไทย นักเศรษฐศาสตร์ก็มองว่า ครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง เพราะผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ และผลกระทบต่างๆ เริ่มลามถึงคนชั้นกลาง สะท้อนผ่านตลาดหุ้นที่ดัชนีปรับตัวลงอย่างมาก ทำให้รัฐบาลต้องเร่งมีมาตรการต่างๆ ออกมา
ก่อนการประชุม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ได้โพสต์ดักคอทำนองว่า จะมีการใช้การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่ออนุมัติโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต
โดยจั่วหัวว่า “เรื่องสยองของ Digital Wallet” พร้อมระบุว่า หลังจากแจกเงินสดมา 2 รอบ หมดเงินไปเกือบ 180,000 ล้านบาท โดยไม่ส่งผลอะไรต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลกำลังจะกลับมาเดินหน้าแจก Digital Wallet ของแท้แล้ว คาดว่าจะเคาะผ่านบอร์ดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ยังระบุว่า ความสยอง มี 3 เรื่อง คือ
1. รู้ทั้งรู้ว่าโครงการแจกเงินรอบแรกไม่มีผลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเลย ก็ยังจะแจกเงินต่ออีก 150,000 ล้านบาท เงินหมื่น 2 เฟสแรก เป็นกระสุนด้าน ไม่ใช่แค่จีดีพีที่หลุดเป้า แต่ตัวเลขการบริโภคไม่มีการขยับขึ้นเลย ในช่วง 4 เดือน หลังแจกเงิน
2. โครงการไม่เสร็จตามเป้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้จะได้แจกเมื่อไหร่ ที่เคยสัญญาไว้ไตรมาส 2 ก็คงไม่ทันอีก เพราะมีปัญหาหน่วยงานที่รับผิดชอบต่างคนต่างทำ ยังไม่พอ ยังเกี่ยงกันรับผิดชอบงาน โบ้ยงานกันไปมาด้วย โดยระบบ Payment Platform DGA หรือสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เป็นคนทำ แต่ไม่ยอม operate โยนไปให้เจ้าของโครงการ เป็นคน operate กระทรวง DE ที่รับเป็นเจ้าของ แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับระบบเลย เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้ว ว่าต้องมารันระบบ
น.ส.ศิริกัญญายังชี้ด้วยว่า 3. เงินไม่พอแจก แต่ก็จะแจกให้ได้ ตอนนี้เหลือเงินบนหน้าตักพอแจกให้กับ 15 ล้านคน แต่มีผู้ลงทะเบียนและคาดว่าจะผ่านเกณฑ์เกือบ 20 ล้านคน
“ถ้าไม่จับไม้สั้นไม้ยาวว่าใครจะได้เงิน ก็ต้องตัดช่วงอายุบางช่วงออก มาลุ้นกันว่า ช่วงอายุไหนจะได้ก่อน ช่วงอายุไหนจะถูกตัด ส่วนคนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน และยังไม่ได้ลงทะเบียน ก็คงยังต้องลุ้นต่อไปเช่นกันว่า จะแจกอย่างไร สภาพโครงการ Digital Wallet ณ ปัจจุบัน ชวนขนหัวลุกสำหรับประชาชนขนาดนี้ นายกรัฐมนตรียังกล้าเคาะให้ผ่านบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังจะทู่ซี้ดันต่อเอาเข้า ครม.ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”
ขณะที่ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เศรษฐกิจในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ โดยมีการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยในปีนี้กระทรวงการคลังประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ 3% แต่รัฐบาลเชื่อว่า ด้วยศักยภาพเศรษฐกิจไทย การร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3%
“วงประชุมวันนี้ จึงเป็นวงที่เรามาร่วมกันคิด เสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ และอยู่ในกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่วมกันวางโครงสร้างในระยะยาวไปพร้อมๆ กัน”
นายกรัฐมนตรีระบุว่า ที่ประชุมได้มีการเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่ 3 เพื่อเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ โดยที่กลุ่มเป้าหมายจะเป็นผู้ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นทางรัฐ มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี และจะต้องใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นทางรัฐ เพื่อสแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่ประชาชนมีชื่ออยู่ตามทะเบียนบ้าน
“ดิฉันได้เน้นย้ำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญอย่างการท่องเที่ยว ที่จะต้องดำเนินต่อไปตามแผนงาน และมีแผนงานใหม่ที่มุ่งไปยังกลุ่ม Luxury เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวมากขึ้น อีกเรื่องที่สำคัญคือกลุ่มการเกษตร ที่จะต้องพัฒนากระบวนการเกษตรทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การส่งออกสินค้าเกษตร และดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เป็นธรรมหรือสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกร และทำให้รายได้ประเทศสูงขึ้นด้วย”
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุมมีเรื่องใหญ่อยู่คือ
การขับเคลื่อนหรือกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจให้เกิน 3% โดยใช้ 4 แนวทาง คือ 1. การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐจากปกติ 70% ให้เพิ่มเป็น 80% ในปีนี้
2. กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เร่งการลงทุนของภาคเอกชนให้เร็วขึ้นจาก 3 ปีเป็น 2 ปี
3. กระตุ้นการส่งออกปีนี้ให้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยให้ขยายตัวได้ 4%
4. กระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการเพิ่มอีเวนต์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว
“ในอนาคตจะมีแผนปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเข้ามาอีก เพราะในขณะที่เรากำลังทำงาน ก็เจอปัญหาในเชิงโครงสร้าง”
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 แต่อยากเรียกว่าเฟส 1 เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ใช้ระบบดิจิทัลวอลเล็ต โดยจะจ่ายในปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ของปี 2568 ให้กับกลุ่มที่ลงทะเบียนไว้แล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16-20 ปี หรืออยู่ในกลุ่มวัยเรียน เนื่องจากสามารถที่จะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังได้เห็นชอบตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อตรวจการทุจริตตามข้อกังวลของนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในอดีตมีข้อผิดพลาดในการแจกเงินค่อนข้างมาก และเพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ สามารถตรวจสอบได้ ส่วนกลุ่มอายุ 21-60 ปี จะต้องขอไปพิจารณากันอีกครั้ง
“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นเฟส 1 มีข้อดีเยอะ ซึ่งระบบอาจจะลำบากในการสร้าง แต่ถ้าเทียบกับการให้เงินอุดหนุนอื่นๆ ดิจิทัลวอลเล็ตสามารถกำหนดการใช้จ่ายได้ ทั้งเรื่องร้านค้า พื้นที่ ทำให้การเติมเงินสู่ระบบเป็นไปตามที่เราต้องการ ทำให้เรารู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศนี้เป็นอย่างไร นำไปวางแผนอื่นๆ ได้อีก ถือเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล”
นายพิชัยกล่าวด้วยว่า อยากให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล สำหรับผู้ที่ไม่มีมือถือ รัฐบาลจะจัดกลุ่มในการช่วยเหลือ และใช้เป็นฐานข้อมูล ว่าจะทํายังไงให้ประชาชนได้รู้จักใช้มือถือ สามารถเข้าถึง เชื่อมโยงกับรัฐบาลได้
“เรากําลังวางรากฐานการใช้และรู้จักดิจิทัลเหล่านี้ให้กับประชาชน เนื่องจากประชาชนกับภาครัฐบาลแยกกันไม่ขาด” นายพิชัยกล่าว
ขณะที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันต่อมา คือวันที่ 11 มีนาคม ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา แต่มีมาตรการกระตุ้นตลาดหุ้น ที่ได้รับการผลักดันออกมาก่อน เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่หุ้นไทยตกอย่างต่อเนื่อง จนดัชนีหลุด 1,200 จุดนั่นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022