มันไม่ขึ้นหรอกลูก | เรื่องสั้น : ปัณณ์ปาลิน

เรื่องสั้น | ปัณณ์ปาลิน

มันไม่ขึ้นหรอกลูก

 

ผมหยุดพักรถที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสมุทรสาคร เข้าห้องน้ำห้องท่าเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปซื้อไส้กรอกกับซาลาเปาที่ร้านสะดวกซื้อแล้วกลับมานั่งรับประทานที่หน้าร้าน กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยมาแตะจมูก พร้อมเสียงดังเอะอะมาจากข้างรถกระบะที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ผมนั่งฟังจนพอจับต้นชนปลายได้ว่าฝ่ายหญิงไม่พอใจที่ฝ่ายชายซื้อน้ำเปล่ามาจากร้านสะดวกซื้อแล้วไม่เอาถุงพลาสติกจนน้ำที่เกาะด้านนอกขวดหยดใส่กางเกง พอรู้ต้นสายปลายเหตุที่ทั้งสองคนมีปากเสียงกันก็คร้านจะฟังต่อ จึงเอาถุงที่ใส่เปลือกซาลาเปาไปทิ้งถังขยะ แล้วหวนให้นึกถึงเรื่องที่ผมทะเลาะกับแนน

ตอนสายของวันหนึ่งขณะที่ขับรถอยู่บนถนนสายเอเชียมุ่งหน้าไปจังหวัดนครสวรรค์ ผมรู้สึกหิวจนปวดท้อง แนนจึงเปิดกูเกิลแม็ปหาปั๊มน้ำมันใกล้ๆ

“อีกสองกิโลข้างหน้าจะมีปั๊มน้ำมัน” แนนพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดู

ผมขับรถไปเรื่อย สายตามองหาสัญลักษณ์ปั๊มน้ำมันที่แนนบอก เมื่อเห็นป้ายปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างถนนผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าศูนย์อาหาร แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง บริเวณศูนย์อาหารมีแต่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวกับร้านขายข้าวแกงซึ่งผมเบื่อหน่ายเต็มทน จึงตัดสินใจวนรถไปจอดหน้าร้านสะดวกซื้อ ลงไปซื้อเบอร์เกอร์หมูมาชิ้นหนึ่ง ส่วนแนนนั้นซื้อไส้กรอกกับขนมปัง ด้วยความเร่งรีบเราจึงซื้อไปกินในรถ เมื่อออกจากปั๊มน้ำมันแนนหยิบซองใส่ซอสพริกขึ้นมาฉีกบีบใส่เบอร์เกอร์หมูให้ผม แล้วลดกระจกลงทิ้งซองบรรจุซอสออกนอกรถ ผมเห็นเข้าจึงหันไปตำหนิ “มันหนักรถหนักหนาหรือไง ถึงกับต้องโยนทิ้งนอกรถ”

“แล้วเธอเป็นคนเก็บไหมล่ะ ถ้าไม่ใช่ก็เงียบ”

ผมโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว เมื่อกินเบอร์เกอร์หมูเสร็จผมเย็บปากสนิท แนนถามคำตอบคำ ความระหองระแหงระหว่างเราสองคนเหมือนกำแพงที่ก่อตัวหนาขึ้นวันละนิดจนเป็นปราการใหญ่ทะมึน

ผมนั่งมองถนนที่ทอดยาวลงใต้ นึกถึงระยะทาง นึกถึงระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางทำให้รู้สึกเหนื่อยหน่าย ผมไม่เคยขับรถกลับใต้มาหลายปีแล้ว อาศัยโดยสารเครื่องบินช่วงที่ตั๋วราคาถูก ช่วงไหนที่ตั๋วราคาแพง ผู้คนเดินทางกลับกันเยอะ ผมเลือกที่จะนอนกลิ้งเป็นหมูหลุมอยู่กับบ้าน

“กลับไปอยู่บ้านแล้วจะทำอะไร ไม่เกินสองเดือนก็วิ่งแจ้นขึ้นมาใหม่” คำพูดแนนผุดขึ้นมา หลักจากที่เราสองคนตกลงแยกทางกัน ถ้อยคำของเธอช่างเสียดสีประชดประชันได้ถึงใจ แต่ก็เป็นจริงอย่างที่แนนว่า ผมกลับไปบ้านยังไม่รู้จะไปทำอะไร ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน บางทีผมก็เหมือนรถยนต์ที่ตอนนี้ไม่มีเกียร์ถอย วิ่งไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่พึงสังวรว่าที่มีอยู่มีกิน มีที่ซุกหัวนอนไม่ต้องเช่าห้องหอก็เพราะแนนทั้งนั้น

คำพูดของแนนคือสัจธรรม ผมต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้

 

รถยนต์สลับเข้าออกมาจอดหน้าร้านสะดวกซื้อไม่ขาดสาย จนทำให้รู้สึกแสบตาเมื่อโดนแสงไฟสาดเข้ามาตรงที่ผมนั่ง ทันใดนั้นเสียงท่อนเหล็กก็ร่วงกราวลงกระทบพื้นดังสนั่น ทำเอาผมสะดุ้งคิดว่ามีเหตุทะเลาะวิวาท เมื่อหันกลับไปเห็นแม่ค้ากำลังก้มเก็บท่อนเหล็กขนาดยาวหนึ่งเมตรขึ้นมาตั้งบนโต๊ะจึงโล่งอก ผมหยิบโทรศัพท์กดโทร.หาพ่อ ปลายสายกดรับแต่ยังไม่มีเสียงพูดดังออกมา ได้ยินแต่เสียงกระดิ่งวัวดังเข้ามาในโทรศัพท์ ผมรู้ทันทีว่าเป็นจังหวะที่วัวสะบัดไล่ตัวริ้นไรที่มาเกาะ

“ว่าไงลูก” เสียงนุ่มๆ เหมือนพระเอกลิเกของพ่อดังผ่านลำโพงโทรศัพท์ “พ่อกำลังก่อไฟให้ไอ้ด่าง”

“เอ่อ…ไม่มีไรครับ พอดีว่างจึงโทร.มาหา พ่อกินข้าวหรือยัง”

“กินแล้ว พ่อกินตั้งแต่หกโมงโน่น ก่อไฟเสร็จก็ว่าจะไปดูละครหน่อย กำลังสนุกเลย”

“อ้อ…ครับ”

“ว่าแต่ลูกมีอะไรหรือเปล่า” เสียงของพ่อไม่วายสงสัย

“คือว่า…ผะ…ผะ…ผมจะถามพ่อว่า” ผมสูดลมหายใจเข้าปอดสลัดความตื่นเต้น ไม่รู้จะเริ่มต้นบอกพ่ออย่างไรดี ทั้งเรื่องที่ตกลงแยกกันอยู่กับแนน และเรื่องหน้าที่การงานที่ลาออกมาเสียเฉยๆ ไม่แจ้งให้บริษัททราบ

“พอจะมีสวนยางเหลือแบ่งให้ผมกรีดสักแปลงมั้ยครับ”

พ่อนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนที่จะมีเสียงตอบกลับมา “มีสิ ลูกจ้างแปลงหน้าบ้านเพิ่งออกไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ยังไม่มีใครมาขอกรีดเลย”

“ประมาณกี่ต้นครับ” ผมถามด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี ทั้งที่ยางแปลงดังกล่าวผมเห็นทุกครั้งที่กลับไปบ้านแต่ไม่เคยสนใจ

“ที่กรีดได้ก็ประมาณสี่ห้าร้อยต้นนี่แหละ ที่ดินแปลงหน้าบ้านก็เกือบสิบไร่ แต่หน้ายางตายนึ่งเสียเยอะ”

“อ้อ…ครับ” ผมตอบพ่อสั้นๆ ทั้งที่อยากจะพูดอะไรอีกมากมาย แต่เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมากั้นเอาไว้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความห่างเหินระหว่างผมกับพ่อก็เป็นได้

“ลูกจะกลับมาอยู่บ้านหรือ?”

“เอ่อ…ใช่ครับ ตอนนี้ผมกำลังลงไป”

“แล้ว…” เหมือนพ่ออยากถามอะไรต่อ แต่หยุดเอาไว้ “ขับรถดีๆ ก็แล้วกัน”

 

ผมฝึกกรีดยางตั้งแต่เรียนชั้น ม.1 เมื่อพ่อเห็นว่าฝีมือการกรีดพอใช้ได้จึงให้ไปกรีดที่สวนหลังบ้านซึ่งเป็นยางอายุเยอะ วันไหนที่โรงเรียนหยุดหรือช่วงปิดเทอม ในตอนหัวรุ่งพ่อจะเปิดประตูห้องเข้ามาปลุกให้ผมลุกขึ้นกรีดยาง ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพ่อเหมือนตัวขี้เกียจนับร้อยวิ่งเข้ามาทับร่างผม กว่าจะลุกขึ้นจากที่นอนได้แต่ละครั้งยากเย็นแสนเข็ญ เมื่อลุกขึ้นจากที่นอนก็มานั่งหลับนกต่อที่หน้าทีวี กว่าจะได้เปลี่ยนชุด เอากระป๋องตะเกียงแก๊สคาดเอว ใช้เวลาหลายสิบนาที จนบางคืนพ่อกรีดไปครึ่งสวนแล้วผมยังไม่ได้ออกจากบ้าน เมื่อคิดย้อนไปในอดีตทำให้รู้สึกอยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะคำว่า ‘เด็ก’ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร นอกจากหน้าที่ของตัวเองที่พ่อแม่มอบหมายให้ เมื่อทำเสร็จก็ออกไปเที่ยวเล่นสนุกไปวันๆ ไม่ต้องสนใจว่าวันนี้ฝนจะตกหรือแดดจะออก ราคายางจะขึ้นหรือจะลง พ่อแม่จะมีเงินให้ไปโรงเรียนหรือไม่ แดดร่มลมตกกลับมาบ้านอาบน้ำกินข้าวเสร็จแล้วก็เข้านอน

ผมเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้ออีกครั้งซื้อเครื่องดื่มชูกำลังมาสองขวด ตอนขับรถทางไกลผมชอบดื่มเพราะทำให้รู้สึกสดชื่น และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือหมากฝรั่งที่ผมจะซื้อติดรถไว้ตลอด ขับรถไปเคี้ยวหมากฝรั่งไปทำให้หายง่วง

ผมขับรถมาโดยไม่หยุดพัก ถ้ารู้สึกล้าหรือง่วงเมื่อไหร่ค่อยหาห้องพักแถวนั้น ตื่นเช้ามาค่อยออกเดินทางต่อ แต่เหมือนเครื่องดื่มชูกำลังที่ผมดื่มไปก่อนหน้านี้จะไม่ออกฤทธิ์ ขับมาได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มหาวถี่ จนน้ำตาไหล จึงหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชหาห้องพักละแวกใกล้เคียง เมื่อได้ห้องพักที่ถูกใจจึงขับไปตามจีพีเอส ไม่นานก็ถึง

ห้องพักที่ผมเลือกนั้นปลูกเป็นห้องเดี่ยวประมาณสิบห้อง อยู่ภายในสวนมะพร้าว ถนนทางเข้าโรยด้วยหินกรวด บริเวณหน้าห้องพักมีสระน้ำขนาดเล็ก เมื่อผมจ่ายค่าที่พักเสร็จก็คว้ากระเป๋ากีฬาใบเล็กๆ ที่ข้างในบรรจุเสื้อผ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน ยาสีฟัน ครีมทาหน้า ขึ้นมาบนห้องพัก อาบน้ำเสร็จก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเพลงในยูทูบ นอนคิดอะไรเพลินๆ ปล่อยให้ยูทูบสุ่มเลือกเพลงเอง จนเล่นมาถึงเพลง “เที่ยวเมืองตรัง” ของศิลปินบ่าววี สมองพลันคิดถึงบ้านเกิด คิดถึงหมูย่าง ต้นยางพาราและอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์

ผมค้นหาประวัติของต้นยางพารา และได้ทราบว่า ‘ยางพารา’ ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างที่ผมเข้าใจมาตลอด แต่ยางพารามีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิลและเปรู ในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งชาวเมืองเรียกว่า เกาชู (Caotchu) แปลว่าต้นไม้ร้องไห้

สำหรับการแพร่เข้ามาของยางพาราในประเทศไทยนั้น ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีได้เดินทางไปประเทศมาเลเซียหรือมลายูในขณะนั้น และได้เห็นสวนยางพาราจึงมีความคิดที่จะนำยางพารามาปลูกในประเทศไทยบ้าง แต่รัฐบาลอังกฤษซึ่งยึดครองมาเลเซียในขณะนั้นไม่อนุญาต หรือบางเว็บไซต์อ้างว่าฝรั่งเจ้าของสวนยางหวงมากทำให้ไม่สามารถนำพันธุ์ยางกลับมาได้ และต่อมีในปี พ.ศ.2444 พระสถลสถานพิทักษ์ได้เดินทางไปดูงานที่อินโดนีเซียและสามารถนำกล้ายางกลับมาได้โดยวิธีการนำกล้ายางมาหุ้มรากด้วยสำลีชุบน้ำแล้วหุ้มทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อีกชั้น เสร็จแล้วบรรจุลงลังไม้ฉำฉาใส่เรือกลไฟและนำมาปลูกที่บ้านพักที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง

ผมเลื่อนหาข้อมูลไปเรื่อยจนไปเจอเว็บไซต์ของกรมป่าไม้ที่เชิญชวนเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจเป็นพืชร่วมในสวนยางพารา ความคิดของผมวิ่งพล่านเหมือนนักศึกษาจบใหม่ ในเมื่อหลังบ้านมีสวนยางที่เพิ่งปลูกใหม่ไม่นานแต่ผมไม่แน่ใจว่าปลูกมาแล้วกี่ปี ถ้าซื้อพันธุ์ไม้เศรษฐกิจปลูกในร่องสวนตามคำแนะนำของกรมป่าไม้ จะเพิ่มมูลค่าให้กับสวนยางได้มาก

ผมหาข้อมูลของต้นไม้ที่ปลูกร่วมกับสวนยางได้ ซึ่งไม้บางชนิดเป็นไม้ที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม้บางชนิดเคยได้ยินแต่ชื่อ ส่วนไม้ที่เคยเห็นและพอคุ้นตาอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นสะเดาเทียม กะทังใบใหญ่ จำปาทอง มะฮอกกานี

ซึ่งไม้จำพวกนี้ถ้าปลูกร่วมกับไม้ยางพารา และในอีกยี่สิบถึงสามสิบปีข้างหน้า เมื่อถึงเวลาโค่นยางพารา ไม้ป่าเหล่านี้จะโตใหญ่และเป็นที่ต้องการของตลาดพอดี สร้างมูลค่าเพิ่มให้สวนยางพาราเป็นอย่างดี

 

ผมกดปิดหน้าเว็บไซต์ของกูเกิล แล้วกดโทร.หาพ่อทันที เสียงปลายสายงัวเงียเหมือนกำลังหลับอยู่ ผมไม่รอช้ารีบถามพ่อซึ่งยังไม่ทันตั้งตัว

“สวนหลังบ้านพ่อปลูกยางมากี่ปีแล้ว”

“ประมาณสองปี” พ่อตอบมาพร้อมกับมีเสียงของแม่ดังเข้ามา ถามพ่อว่าคุยกับใคร

“พ่อ…” ผมเรียกชื่อพ่อเพื่อถ่วงเวลาในการรวบรวมความกล้า เพราะผมรู้ว่าพ่อเป็นคนหัวโบราณ ไม่ยอมรับความคิดใหม่ๆ เท่าไหร่ สวนยางของน้าพันแปลงติดกับพ่อโค่นยางแล้วหันมาปลูกปาล์มน้ำมัน สองปีกว่าเริ่มตัดทลายปาล์มน้ำมันออกขายได้ แต่พ่อก็ยังไม่ยอมตามกระแสที่เปลี่ยนไป ยังขับรถตระเวนหากล้าพันธุ์ยางที่ชาวบ้านเรียกกันว่ายางหกร้อย เพราะพ่อเชื่อว่ายางหกร้อยทนต่อโรคและให้ผลผลิตน้ำยางสม่ำเสมอ เมื่อตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพูดกับพ่อในเรื่องนี้ จึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดออกไป “ผมคิดว่าจะปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจกลางร่องยาง” พูดเสร็จหัวใจของผมเต้นเหมืองหนังกลองเพล ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ เสียงพลิกตัวของแม่ดังเข้ามาในสายอีกครั้ง

“มันไม่ขึ้นหรอกลูก”

เสียงของพ่อตอบมาเนิบช้า

“อีกอย่างพอไม้ป่ามันโตมาก็ไปเบียดบังแร่ธาตุที่ต้นยางควรจะได้รับ ทำให้น้ำยางออกน้อยลง”

ผมถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ค่อยๆ ยกโทรศัพท์ออกจากหู

“แต่ถ้าลูกจะลองก็ได้ เดี๋ยวพ่อช่วย” เสียงของพ่อดังเบาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่ผมได้ยินคำพูดของพ่อชัดเจน ผมกดวางสายแล้วบอกขอบคุณพ่อนับสิบครั้งที่ไม่คัดค้านในสิ่งที่ผมคิดจะทำ ซึ่งผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้จะสำเร็จหรือผมจะล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน แต่ผมตั้งใจแล้วที่จะปลูกไม้เศรษฐกิจ แม้มันจะไม่ให้ผลตอบแทนในทันทีทันใด

แต่อย่างน้อยผมก็ช่วยเพิ่มต้นไม้ให้โลกได้ •