ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | มีเกียรติ แซ่จิว
มองจากมุมของ May Pang
ผ่านสารคดี The Lost Weekend : A Love Story (2022)
และลองเข้าไปนั่งในใจของเธอดูสักครั้ง
ก่อนพาคนอ่านเข้าสำรวจเรื่องราวของจอห์น เลนนอน กับ เมย์ แปง ผู้เขียนอยากจะขอหยิบยกบทสนทนาหนึ่งในนวนิยายอันโด่งดัง To Kill a Mockingbird ของ ฮาร์เปอร์ ลี มากล่าวถึงสักเล็กน้อย นั่นคือคำสอนของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวแอตติคัส ที่มีแต่ความปรารถนาดีต่อลูกทั้งสองอย่างเจ็มและสเกาต์ หลายบทนับเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าและรินรดใจผู้อ่านอยู่เสมอ ทุกคราไม่ว่าเปิดอ่านเวลาใด ราวกับโลกจะละมุนละไมละเอียดอ่อนต่อใจเราขึ้นทุกขณะ
“อย่างแรกเลยนะ สเกาต์” เขาพูด “ถ้าลูกรู้จักเคล็ดลับง่ายๆ ไว้อย่างหนึ่ง ลูกจะเข้ากับคนได้ทุกประเภทเลยล่ะ เราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้อย่างแท้จริง จนกว่าจะพิจารณาสิ่งต่างๆ จากมุมมองของเขา”
“อะไรนะคะ”
“จนกว่าเราจะเข้าไปนั่งในใจเขา และหมุนตัวมองไปรอบๆ”
ตอนดูสารคดีเรื่อง The Lost Weekend ผู้เขียนพยายามจินตนาการตามโลกที่เหวี่ยงไหวของเมย์ แปง สาวเชื้อสายจีนอายุ 18 ปี ที่อพยพตามครอบครัวมาตั้งรกรากในอเมริกา ตามความฝัน ‘อเมริกันดรีม’ แม่เปิดร้านซักรีด OK Laundry พ่อซึ่งอยากมีลูกชายมากกว่าตามขนบดั้งเดิม จึงรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และรักเธอน้อยลงขึ้นทุกวัน
และด้วยความรักในเสียงเพลงร็อก ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน ออกมาโลดแล่นผจญชีวิตด้วยตนเองในย่านไทม์สแควร์ แต่ก็ผิดหวังมิได้เป็นนางแบบตามต้องการ เธอจึงเบนความสนใจไปสมัครเป็นพนักงานในบริษัทค่ายเพลง Apple Records ของ The Beatles
ก่อนจะขยับฐานะมาเป็นเลขาฯ ประจำตัวของจอห์น เลนนอน และ โยโกะ โอโนะ ในปี 1971
อันเป็นจุดเริ่มของ The Lost Weekend ในเวลาต่อมา
ตัวสารคดี แม้จะเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่สูญหาย The Lost Weekend (ตามคำที่จอห์นเคยให้สัมภาษณ์) แต่ภาพก็ฉายสลับกลับไปสู่ตำนานเดอะบีตเทิลอันยิ่งใหญ่และเหล่าผองเพื่อนในวงความรักครั้งแรกกับซินเธียเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนตั้งครรภ์ การออกทัวร์จนแทบไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว โดยเฉพาะลูกชายอย่างจูเลียน เลนนอน
หรือในช่วงหลังจากจอห์นพบโยโกะและแยกทางกับซินเธีย ความระหองระแหงภายในวงจนถึงจุดแตกหักและเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
การผันตัวมาเรียกร้องเสรีภาพ ต่อต้านสงครามเวียดนาม การถือกำเนิดขึ้นอย่างบทเพลง Imagine อิทธิพลทางความคิดของโยโกะที่มีต่อจอห์นในช่วงเวลาเหล่านั้น
ซึ่งต้องยอมรับว่าด้านหนึ่งมาจากเสียงเล่าของเมย์เองและอาจจะโน้มเอียงทำนองว่าโยโกะคือตัวการสำคัญ ทั้งเรื่องของการห้ามไม่ให้จูเลียนได้ต่อสายคุยกับจอห์น
และเรื่องสั่งห้ามจอห์นไม่ให้กลับไปหาเมย์อีกหลังสิ้นสุด 18 เดือนที่ทั้งคู่ย้ายจากนิวยอร์กไปใช้ชีวิตร่วมกันที่แอลเอ
จากมุมมองของเมย์ เธอบอกเล่าในสารคดีชิ้นนี้ว่า ลับหลังโยโกะ จอห์นยังแอบโทร.มาหาพูดคุยกับเธอ ฝันถึงบ้านหลังเล็กที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน จนกระทั่งการคุยกันครั้งสุดท้ายไม่กี่สัปดาห์ เธอก็ทราบข่าวว่าจอห์นถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าอพาร์ตเมนต์ดาโกต้าข้างเซ็นทรัลปาร์ก โดยมือสังหารที่ชื่อ เดวิด แชปแมน ซึ่งเป็นแฟนเพลงของเขาเองเป็นผู้ปลิดชีวิต เป็นข่าวโด่งดังครึกโครมไปทั่วโลก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1980
มองจากมุมของเมย์ แปง ลองเข้าไปนั่งในใจของเธอดูว่า 18 เดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ในช่วงสุดสัปดาห์ที่สูญหาย ณ ที่แห่งนั้น ลอสแองเจลิสไม่ใช่สถานที่ปิด แต่มีอยู่จริง มีเรื่องราวและภาพถ่ายตามสถานที่ต่างๆ มากมายที่ถ่ายโดยเมย์เอง (อาทิ ปาร์ตี้สังสรรค์, ร่วมงานกับเดวิด โบวี และเอลตัน จอห์น) รวมทั้งภาพวาดลายเส้นการ์ตูนสื่อรักที่จอห์นมีต่อเธอ (หลายต่อหลายภาพ) รถยนต์บาราคูด้าสีส้มแดงที่จอห์นซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด กางเกงยีนส์ขาม้าของเมย์ที่จอห์นสวมใส่ได้พอดิบพอดี หรือจะในสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่จูนเข้าหากันได้อย่างสนิทแนบแน่น คือความหลงใหลในร็อกแอนด์โรล์ที่มีเหมือนกัน
“เรามีความสนใจร่วมกันมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของดนตรี เราชอบพูดคุยเกี่ยวกับดนตรีร็อกแอนด์โรล เพราะฉันเป็นร็อกแอนด์โรลตัวจริง”
ไม่ว่าจะมองจากมุมใด ก็น่าเชื่อเหลือเกินว่า เมย์ถ่ายทอดทุกคำพูดออกมาจากหัวใจ แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นการฟังความเพียงข้างเดียวก็ตาม
ในตอนท้ายๆ ของสารคดีเรื่องนี้ จูเลียนในวัยเติบโตเป็นผู้ใหญ่มานั่งเล่าความหลังของเขาต่อครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องราวของเมย์ที่เข้ากับซินเธียแม่ของเขาได้เป็นอย่างดีและพาจอห์นกลับมาสานสัมพันธ์กับเขาอีกครั้ง (เราจะได้เห็นทั้งจากภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวที่ถูกบันทึกไว้ จอห์นกับจูเลี่ยน และเมย์ในหลายช่วงเวลา) ก่อนที่เมย์จะเดินจะเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง จูเลียนหอมแก้มเมย์ แสดงออกถึงความรัก ความผูกพัน มิตรภาพที่ยั่งยืนจนทุกวันนี้ (ฉากนี้ชวนซาบซึ้งจนอาจทำให้ใครหลายคนที่ได้ชมมีน้ำตา) และก่อนจบบทสัมภาษณ์จูเลียนพูดว่า
“มองดูเราตอนนี้สิ เรายังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ เรายังมีชีวิตอยู่และเข้มแข็ง” (ถึงตอนนี้อาจทำให้เราคิดไปถึงเพลง Hey Jude ที่พอล แม็กคาร์ตนีย์ แต่งให้กับหลานชายที่ชื่อจูเลียนคนนี้)
จากนั้นเมย์และจูเลี่ยนก็เดินออกไปตามทางเท้า แม้เราจะไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดคุยเรื่องอะไรกัน แต่จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มมีความสุข คงพอทำให้เห็นว่า ไม่ว่าชีวิตจะเคยผ่านเรื่องร้ายดีมามากเท่าไร แต่สิ่งที่งดงามที่สุดยังคงล้นอยู่ในใจคนทั้งสองคือ ทุกช่วงเวลาดีๆ ที่เคยใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับจอห์น เลนนอน ชายผู้ยังคงเป็นตำนานยืนยงข้ามทศวรรษตราบจนวันนี้
บางที พูดก็พูดเถอะ แม้ว่าหลายเพลงอันโด่งดังข้ามกาลเวลา จะถูกนำมาคัพเวอร์ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง โดยเฉพาะอันดับหนึ่งในใจใครหลายคนอย่างบทเพลงเรียกร้องสันติภาพอย่าง Imagine หรือจะในเพลง Woman ที่แสดงออกถึงความรักที่มีต่อโยโกะ หรือ Beautiful Boy ที่แต่งกล่อมลูกชายที่เกิดกับโยโกะอย่างฌอน โอโนะ เลนนอน รวมถึงเพลงหวนไห้อาลัยต่อความหลัง ความผิดที่ครั้งหนึ่งเคยทำต่อซินเธียอย่าง Jealous Guy
มองจากมุมของเมย์ แปง ในสารคดีชิ้นนี้ ส่วนหนึ่งผู้เขียนก็ได้เข้าไปนั่งในใจของเมย์มาโดยตลอดระหว่างที่ชมแต่ต้นจนจบ แน่นอนจากมุมของเมย์ ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังใครเปิดเพลง Jealous Gay ไม่ว่าจากที่ใดก็ตาม ‘ชายขี้หึง’ ผู้เผลอทำร้ายคนรักและสำนึกผิดคนนั้น บทเพลงนี้จะทำให้ผู้เขียนคิดเสมอว่าหมายถึงเมย์มากกว่าซินเธีย
เพราะตลอดกาลจอห์นไม่เคยตายจากไปไหน และยังคงอยู่ในใจเมย์เสมอมา (เราจะเห็นได้จากตอนที่เธอพูดถึงจอห์นและร้องไห้ไปด้วยนั้นว่ามันคงบีบหัวใจจริงๆ)
The Lost Weekend ของเมย์กับจอห์นจะยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ
เหมือนอย่างในภาพวาดบ้านหลังเล็กบนก้อนเมฆที่ครั้งหนึ่งจอห์นเคยวาดฝันสวยงามฝากไว้กับเมย์…
“เมื่อฉันมองย้อนกลับไปที่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่สูญหายไปของเรา เมื่อฉันคิดถึงความสัมพันธ์ทั้งหมดของฉันกับจอห์น ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก เขารักซินเธีย เขารักโยโกะ และใช่ เขารักฉัน”
เครดิตภาพประกอบ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022