ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 มีนาคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
MatiTalk กษิต ภิรมย์ วิเคราะห์ ‘ทรัมป์ยำใหญ่’ สะเทือนโลก! ไทยต้องคิดใหม่
“ทรัมป์กำลังยำใหญ่ที่อเมริกา ปรับเปลี่ยนปฏิรูประบบราชการ จัดสรรงบประมาณให้ถูกต้อง ทำให้มีผลกระทบไปทั่วโลก เพราะว่าเขาเป็นเจ้าโลก แต่ละประเทศที่เป็นประเทศเป้าหมายที่จะถูกขึ้นภาษีต่างก็วิ่งมาที่กรุงวอชิงตัน หรือไม่ก็ยกหูโทรศัพท์ ซึ่งทรัมป์ประสบความสำเร็จแล้วแค่ภายในเวลา 1 เดือน” กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ MatiTalk ของมติชนสุดสัปดาห์
กษิตมองว่า ทำไมเมื่อเรากับสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรร่วมกันมาเป็นเวลายาวนานทางด้านการทหารและความมั่นคงแล้ว ทำไมเราถึงโดดไปซื้อสินค้าอาวุธจากจีนหรือว่าจากสวีเดน
อันนี้เราก็ต้องกลับมานั่งคิดด้วยว่ามันมีอะไรในกอไผ่ แล้วทำไมมันถึงมีปัญหาว่าเป็นพันธมิตรแล้วทำไมเราไม่ซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกา
ถ้าเผื่อเราคิดที่จะซื้อได้ดุลการค้าที่เราได้เปรียบอยู่มันก็จะสมดุลยิ่งขึ้นก็จะทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สบายใจ
ส่วนเรื่องงบประมาณส่วนใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาไปช่วยเหลือผ่านประเทศหรือผ่านพวกองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ NGO ก็เป็นเงินของสหรัฐอเมริกา มันมีองค์กรค่อนข้างจะอิสระที่เรียกว่า USAID ไม่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดีอะไรต่างๆ เหล่านี้ ทรัมป์ก็เห็นว่าอันนี้มีการคอร์รัปชั่นมากมาย แล้วก็ผลงานไม่เป็นที่ประจักษ์
เขาก็บอกว่าจะระงับการทำงานแล้วคงจะยกเลิกไป
: มองสถานการณ์โลกปัจจุบันอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่สหรัฐอเมริกาเป็นสิ่งสำคัญ
การเข้ามาสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นครั้งที่ 2 ทำให้ทรัมป์เห็นประเด็นปัญหาของสหรัฐอเมริกาว่าเป็นอย่างไร แล้วทรัมป์มีแนวทางที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้
ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของผู้นำอีกประมาณ 200 ประเทศทั่วโลกว่าจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ต้องเตรียมท่าทีจะต่อกรกับสหรัฐอเมริกา
ประเด็นแรก ในกรณีของประเทศไทยเป็นภาระหน้าที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย
ประการที่ 2 คือเราต้องเข้าใจว่าสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น เขาเป็นเจ้าโลกประเทศเดียว เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แล้วโดยตลอดมาในประวัติศาสตร์การเมืองความมั่นคงของสหรัฐอเมริกานั้น เมื่อเขาต้องต่อสู้เพื่อเป็นเอกราชจากอาณานิคมอังกฤษ เขาก็ไม่อยากให้ประเทศยุโรปกลับเข้ามาข้องแวะในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้
เพราะฉะนั้น มันอยู่ในสายเลือดหรืออยู่ใน DNA ของสหรัฐอเมริกาว่าทวีปอเมริกาเหนือและทวีปอเมริกาใต้นั้นเป็นของคนอเมริกันทั้งหมด
จากมุมมองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ความมั่นคงทั่วโลก จะใกล้จะไกลล้วนกระทบสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้น เขาก็จะต้องออกไปข้างนอกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีประเทศใด ไม่มีกลุ่มประเทศใดที่จะมาขยายอิทธิพลครอบงำพื้นที่ใดๆ ของโลก
เพราะเขาถือว่าใครก็ตามที่จะมาครอบงำพื้นที่หนึ่งใดของโลกนั้น เป็นการคุกคามความมั่นคงของอเมริกา และเป็นการปิดกั้นไม่ให้เรือทะเล ไม่ว่าจะเป็นเรือพาณิชย์หรือเครื่องบินพาณิชย์ หรือว่าเครื่องบินรบอะไรพวกนี้ต้องตระเวนไปตามอำเภอใจ ตามความชอบใจในทะเลหลวงที่เป็นทะเลสากล
เขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาสร้างเขตอิทธิพลนี่จากมุมมองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดมาอย่างนี้ ผู้นำทุกคนก็ต้องตื่นขึ้นมา ขณะเดียวกันบรรดาพันธมิตรของเขาทั้งหลายที่เป็นเวลา 40-50 ปีค่อนข้างจะตีกิน คือพึ่งกองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกาเพื่อปกป้องความมั่นคงปลอดภัย ทรัมป์ก็บอกว่าตรงนี้เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ไม่สมดุล แต่ละประเทศต้องเพิ่มงบประมาณ-สมรรถภาพทางการทหารด้วยตนเอง จะมาตีกินพึ่งพาแต่สหรัฐอเมริกาไปอย่างเดียวนั้นไม่ได้
พันธมิตรของเขาทั้งหลายตั้งแต่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ออสเตรเลีย และอีก 20 กว่าประเทศในยุโรปตะวันตกนั้นต้องเพิ่มงบประมาณเรื่องแสนยานุภาพทางทหารให้ได้ 5% ของ GDP ก็ทำให้ทั่วโลกสะดุ้งสะเทือน
สหรัฐไม่ต้องการที่จะไปค้ำจุนยุโรป
ยุโรปต้องช่วยตัวเอง รวมถึงยูเครนที่จะต่อกรกับรัสเซีย แต่ต้องการให้เกิดการหยุดยิงแล้วก็เจรจาสันติภาพ แต่ละประเทศก็จะต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมาก
เพราะฉะนั้น ในเรื่องการเป็นพันธมิตรการรักษาความมั่นคง เรื่องการช่วยเหลือร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านมนุษยธรรมหรือการพัฒนาอะไรต่างๆ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังยำใหญ่ที่อเมริกา ปรับเปลี่ยนปรับปฏิรูประบบราชการการจัดสรรงบประมาณให้มันถูกต้อง
มันก็มีผลกระทบไปทั่วโลก เพราะว่าเขาเป็นเจ้าโลก เมื่อเป็นอย่างนี้แต่ละประเทศก็มานั่งคิดว่าต้องวางตัวอย่างไร
เช่นประเทศไทย นอกจากทำด้วยตัวเองแล้วเราก็มีเพื่อนสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศ เราก็ต้องมารวมกันในการที่ว่าเราจะมีอะไรที่จะร่วมกันไปพูดจากับทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาหรือไม่ จะไปโน้มน้าวก็ได้มากน้อยแค่ไหนที่จะเจรจาต่อรอง อันนั้นเป็นการบ้านของพวกเราทั้งหมด
แล้วเราแทนที่จะมานั่งบ่นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ ผมว่าเสียเวลา ในเมื่อเขาทำแล้วก็ทำจริง เราก็ต้องปรับตัวไปให้เหมาะสม
แล้วเราก็ต้องแสวงหาแนวร่วมให้มากที่สุดกับอาเซียนก็ดี หรือจะร่วมกับออสเตรเลีย อินเดีย และเราก็ต้องมาคิดเพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มสมาชิกประเทศที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกา
และที่สำคัญที่สุดก็คือในเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นภาระหน้าที่อันสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศที่จะต้องจัดเวทีการศึกษาหารืออย่างกว้างขวางเพื่อมาระดมความคิด ว่าเราจะวางตัวอย่างไร เราจะปรับความสัมพันธ์กับ 4 ยักษ์ใหญ่ สหรัฐ จีน รัสเซีย และสหภาพยุโรป
จะต้องรีบๆ เร่งดำเนินการ
: บุคลิกของทรัมป์เป็นอันตรายต่อโลก?
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะมีวิธีพูดจาที่มันโฉ่งฉ่าง บางครั้งอาจจะออกมาในเชิง ฉันไม่แคร์ใคร ที่สำคัญเราต้องดูที่เนื้อหามากกว่าวิธีการพูดจา เราอาจจะไม่ชอบวิธีการพูดจาของทรัมป์ แต่ว่าเนื้อหาที่เขาพูดมามันแทบจะเถียงไม่ได้
อย่างประเด็นแรก สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับความยุติธรรมในเรื่องการทำมาค้าขาย หลายๆ ประเทศทุ่มตลาดเอารัดเอาเปรียบของสหรัฐ จึงต้องการขึ้นภาษี
ณ ตอนนี้ประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราจะต้องมาดูว่าสินค้าที่เราส่งไปขายที่สหรัฐอเมริกาเป็นสินค้าที่แอบเข้าหลังประตูสหรัฐอเมริกาหรือเปล่า ซึ่งเป็นสินค้าของจีนหรือเปล่า
เป็นสินค้าของจีนที่เอามากองไว้ที่ประเทศไทยแล้วไปประกาศว่าเป็นสินค้าไทยแล้วก็ไปเข้าหลังบ้านของสหรัฐอเมริกาหรือไม่
เราจะกลายเป็นเครื่องมือให้กับจีนและเราก็กลายเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกาเพราะเราปล่อยปละละเลยทางฝ่ายศุลกากรหรือเปล่า
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องมานัดทบทวนทั้งหมดเลยว่าจริงไม่จริงอย่างไร แล้วจะปรับตัวอย่างไร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งมาเข้ามารับตำแหน่งไม่นาน แต่ว่าทันทีที่ได้ประกาศนโยบายออกไปเป็นผู้นำหลายประเทศอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีของอินเดีย นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ได้เดินทางไปที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เพื่อเจรจาเรื่องดุลการค้า ความร่วมมืออะไรต่างๆ หรือผู้นำหลายประเทศโทรศัพท์เพื่อปรับการค้าจะเสริมสร้างความมั่นคงสหรัฐอเมริกา แม้กระทั่งจีน รัสเซีย
เท่ากับว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดออกมาแม้มันจะโฉ่งฉ่าง แต่ว่ามีความแน่ชัดว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร มันก็ได้รับการตอบสนองทันที เพราะเท่ากับว่าสิ่งที่พูดมามันมีสาระเนื้อหา แล้วแต่ละประเทศที่เป็นประเทศเป้าหมายที่จะถูกขึ้นภาษี ต่างก็วิ่งมาที่กรุงวอชิงตัน หรือไม่ก็ยกหูโทรศัพท์
เพียงเท่านี้ทรัมป์ก็ประสบความสำเร็จแล้วแค่ภายในเวลา 1 เดือนที่ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีครั้งที่ 2 แล้วจะว่าอย่างนี้ไม่ดีสำหรับคนอเมริกันเหรอ
แล้วทำให้ผู้นำทั่วโลกนั้นไม่นอนหลับทับสิทธิ์ให้อเมริกาเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองแต่อย่างเดียวไม่ได้แล้ว หรือเรียกว่า wake up Call คือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ผู้นำทั่วโลกเลยตื่นจากพะวง ซึ่งหลับๆ ตื่นๆ มาตลอด ไม่ได้ทำงานให้มันจริงจัง
แต่ ณ วันนี้ไม่ได้แล้ว ต้องตื่นขึ้นมาทำงาน
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022