ผู้บริหารก็ต้องมีโค้ช ใช่หรือไม่?

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรfacebook.com/eightandahalfsentences

ธุรกิจพอดีคำ | กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

 

ผู้บริหารก็ต้องมีโค้ช ใช่หรือไม่?

 

เคยสงสัยไหมว่าทำไมแชมป์เทนนิสระดับโลกอย่างโนวัค โจโควิช ยังต้องมีโค้ชคอยดูแล?

ทั้งที่เขาคือมือหนึ่งของโลกมาหลายสมัย ทั้งที่เขาคือผู้ชนะแกรนด์สแลมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทักษะอันน่าทึ่งของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมนับล้านทั่วโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จยังมีโค้ชที่ช่วยเขาพัฒนาต่อไปอีก

คำตอบเดียวกันนี้อธิบายได้ว่าทำไมซีอีโอระดับโลกอย่างบิล เกตส์, มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก และเอริก ชมิดต์ จึงยังต้องมีโค้ชของตัวเอง บุคคลที่เราเห็นว่าฉลาดหลักแหลมและสร้างจักรวาลธุรกิจขนาดใหญ่ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ยังต้องการมุมมองจากคนที่อยู่ภายนอกกรอบความคิดของพวกเขา

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าการมีโค้ชเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความอ่อนแอ หรือเป็นข้อบ่งชี้ว่ายังไม่พร้อมสำหรับความท้าทาย

แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ในโลกของการแข่งขันสูง การมีโค้ชกลายเป็นความได้เปรียบที่ทำให้ผู้นำองค์กรสามารถมองเห็นจุดบอดของตนเองและพัฒนาศักยภาพได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

 

เหตุใดบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในสาขาของตนเองจึงยังต้องการโค้ช? คำตอบอยู่ที่ธรรมชาติของมนุษย์และความซับซ้อนของโลกธุรกิจสมัยใหม่

ประการแรก : การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมักนำมาซึ่ง “ความโดดเดี่ยวบนยอดเขา” (Lonely at the Top Syndrome) เมื่อความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น จำนวนคนที่กล้าท้าทายความคิดของพวกเขากลับลดลง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “วงล้อมเออออ” (Echo Chamber) เกิดขึ้นเมื่อผู้คนรอบข้างเอาแต่เห็นด้วยและยกย่องทุกความคิดของผู้บริหาร จนทำให้ขาดการกลั่นกรองและท้าทายที่สร้างสรรค์

ประการที่สอง : ความกดดันในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อหลายชีวิตและเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้บริหารต้องการพื้นที่ปลอดภัยในการคิดวิเคราะห์ ทดสอบสมมติฐาน และสำรวจทางเลือกต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตัดสินหรือทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองเสื่อมเสีย

ประการที่สาม : ยิ่งประสบความสำเร็จมากเท่าไร จุดบอดก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น คำกล่าวที่ว่า “success breeds complacency” หรือ “ความสำเร็จนำมาซึ่งความเฉื่อยชา” เป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วในประวัติศาสตร์ธุรกิจ โค้ชจึงทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนและคอยเตือนให้ผู้บริหารไม่ตกอยู่ในกับดักแห่งความสำเร็จของตนเอง

ประการที่สี่ : ความรู้และทักษะมีอายุขัยที่สั้นลงในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นทุกขณะ ความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นหลักประกันสำหรับอนาคต โค้ชช่วยให้ผู้บริหารปรับตัว เรียนรู้ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

หลายคนเข้าใจผิดว่าโค้ชคือที่ปรึกษาทางธุรกิจหรือผู้ฝึกสอนทักษะ แต่แท้จริงแล้ว โค้ชคือกระจกบานพิเศษที่สะท้อนให้เห็นจุดบอดของตัวเอง และตั้งคำถามที่ทำให้เราต้องหยุดคิด

ความแตกต่างที่สำคัญคือ ที่ปรึกษา (Consultant) จะนำความเชี่ยวชาญมาแก้ปัญหาและให้คำแนะนำ “วิธีการ” ที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นที่ระบบ กระบวนการ หรือกลยุทธ์ขององค์กร

ในขณะที่โค้ช (Coach) จะไม่ให้คำตอบสำเร็จรูป แต่จะตั้งคำถามที่ทรงพลังเพื่อให้ผู้บริหารค้นพบคำตอบด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาภาวะผู้นำ วิธีคิด และพฤติกรรมของบุคคล

นอกจากนี้ ที่ปรึกษามักทำงานเป็นโปรเจ็กต์ที่มีระยะเวลาชัดเจน เมื่อแก้ปัญหาเสร็จสิ้นก็จบความสัมพันธ์ แต่โค้ชมักทำงานในระยะยาว สร้างความสัมพันธ์แบบต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

 

โค้ช : “วันนี้เราจะเริ่มจากอะไรดี?”

ซีอีโอ : “ผมรู้สึกว่าทีมไม่เข้าใจสิ่งที่ผมพยายามสื่อสาร ทั้งๆ ที่ผมอธิบายวิสัยทัศน์ใหม่ขององค์กรไปแล้ว แต่พวกเขายังคงทำงานเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

โค้ช : “คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุที่พวกเขาไม่เข้าใจ?”

ซีอีโอ : “อาจเพราะผมไม่มีเวลาอธิบายให้ชัดเจนพอ หรือพวกเขาอาจจะติดอยู่กับวิธีการทำงานแบบเดิมๆ จนไม่อยากปรับตัว”

โค้ช : “สิ่งที่ผมฟังคือคุณมักเลือกความเร่งด่วนมากกว่าความชัดเจน และคุณกำลังมองว่าปัญหาอยู่ที่พวกเขา ลองนึกถึงช่วงที่การสื่อสารของคุณได้ผลดีที่สุด มันต่างจากตอนนี้อย่างไร?”

ซีอีโอ: (หยุดคิดครู่หนึ่ง) “ตอนนั้นผมให้เวลากับการตั้งคำถามและฟังมากกว่า ไม่รีบสรุปว่าทุกคนเข้าใจแล้ว ผมจำได้ว่าตอนที่เราเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อสองปีก่อน ผมใช้เวลาหลายสัปดาห์พูดคุยกับหัวหน้าทีมแต่ละคน ฟังความกังวลของพวกเขา และปรับแผนตามข้อมูลที่ได้รับ”

โค้ช : “แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าคุณกลับไปทำแบบนั้นอีกครั้ง?”

ซีอีโอ : “ผมจะได้เห็นมุมมองที่ผมอาจมองข้ามไป และพวกเขาจะรู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางใหม่นี้ แทนที่จะรู้สึกว่าเป็นคำสั่งจากข้างบน”

โค้ช : “คุณรู้สึกอย่างไรกับความคิดนี้?”

ซีอีโอ : “รู้สึกดี แต่ผมกังวลว่าจะใช้เวลามาก ในเมื่อเราต้องเร่งปรับเปลี่ยนให้ทันคู่แข่ง”

โค้ช : “ลองพิจารณาต้นทุนของการไม่ทำเช่นนั้น หากทีมยังไม่เข้าใจและไม่ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้น?”

ซีอีโอ : “เราจะเสียเวลาและทรัพยากรมากกว่านี้ในระยะยาว และอาจสูญเสียโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ”

โค้ช : “แล้วคุณคิดว่าอะไรคือก้าวแรกที่คุณจะทำ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนกับทีม?”

นี่เป็นเพียงตัวอย่างสั้นๆ ของการสนทนาในห้องโค้ชชิ่ง ซึ่งจะเห็นได้ว่าโค้ชไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูป

แต่ใช้คำถามที่ทรงพลังเพื่อนำพาผู้บริหารค้นพบคำตอบด้วยตนเอง

 

แม้ว่าการโค้ชชิ่งจะเป็นเรื่องปกติในองค์กรชั้นนำของโลก แต่ในประเทศไทย แนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น วัฒนธรรมไทยมีทั้งอุปสรรคและโอกาสสำหรับการพัฒนาการโค้ชชิ่ง

อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ :

1. วัฒนธรรมการเคารพอาวุโส ที่อาจทำให้ผู้บริหารอาวุโสไม่เปิดรับการท้าทายหรือการตั้งคำถามจากโค้ชที่อายุน้อยกว่า

2. การรักษาหน้า ที่ทำให้ผู้บริหารไม่ต้องการยอมรับว่าตนเองยังต้องพัฒนา

3. ความเชื่อว่าผู้นำต้องรู้ทุกอย่าง ที่ทำให้การขอคำแนะนำดูเหมือนเป็นจุดอ่อน

4. มุมมองระยะสั้น ที่มองว่าการโค้ชชิ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช่การลงทุน

อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมไทยก็มีจุดแข็งที่เอื้อต่อการโค้ชชิ่ง เช่น :

1. วัฒนธรรมการเป็นครู ที่ให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดความรู้

2. ความเชื่อในการพัฒนาจิตใจ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของการโค้ชชิ่ง

3. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการโค้ชชิ่งที่มีประสิทธิภาพ

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตของธุรกิจโค้ชชิ่งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริษัทข้ามชาติและองค์กรที่ต้องการก้าวสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าแนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้น

อาจารย์ของผมเคยบอกว่า “คนที่อยู่สูงมักเห็นไกล แต่กลับมองไม่เห็นตัวเอง” นี่คือเหตุผลที่ผู้บริหารชั้นนำต้องมีโค้ช ไม่ใช่เพราะพวกเขาขาดความสามารถ แต่เพราะพลังของคำถามที่ใช่จากคนที่ใช่ สามารถเปลี่ยนมุมมองและนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าได้

การมีโค้ชไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นเครื่องหมายของความฉลาดและความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ยอมรับข้อจำกัดของตนเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง

ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครที่รู้ทุกอย่างหรือสมบูรณ์แบบ แม้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็ยังต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ดังคำกล่าวของ John Wooden โค้ชบาสเกตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่การไปให้ถึงยอดเขา แต่คือการเดินทางและการเติบโตระหว่างทาง” เฉกเช่นเดียวกับการเป็นผู้นำ ที่ความสำเร็จไม่ใช่เพียงตำแหน่งหรือผลกำไร แต่คือการเติบโตและพัฒนาตนเองและทีมงานตลอดเส้นทาง

และที่สำคัญที่สุด การมีโค้ชยังเป็นการส่งต่อวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ให้กับคนรุ่นต่อไป เมื่อผู้นำแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกคนในองค์กรก็จะเดินตามรอยเท้านั้น

โลกธุรกิจในอนาคตจะเป็นของผู้ที่เรียนรู้เร็วที่สุด ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดที่สุด และการมีโค้ชที่ดีคือหนทางที่จะทำให้การเรียนรู้นั้นเร็วขึ้น ลึกซึ้งขึ้น และยั่งยืนขึ้น

คำถามสุดท้ายสำหรับผู้บริหารทุกคน : คุณพร้อมที่จะมองเห็นตัวเองในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหรือยัง?