ช้างตายทั้งโขลง ในกลโกงเลือก ส.ว. บัวทั้งบึง ไม่พอจะปิดบาป กกต. และ DSI ควรจะร่วมทำคดี ไม่ใช่กีดกัน

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ

 

ช้างตายทั้งโขลง

ในกลโกงเลือก ส.ว.

บัวทั้งบึง ไม่พอจะปิดบาป

กกต. และ DSI

ควรจะร่วมทำคดี ไม่ใช่กีดกัน

 

หลังจาก ส.ว.แต่งตั้ง 250 คนหมดวาระลง ส.ว.ชุดต่อมาก็กลายเป็นความหวัง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวังเพราะระบบเลือกกันเองได้เปิดช่องให้อั้งยี่ สามารถใช้อิทธิพล ทุจริตการคัดเลือกอย่างชัดเจน ตั้งแต่ระดับอำเภอ ไปจังหวัด จนถึงระดับประเทศ

หลายเดือนที่ผ่านมา กกต.ยังไม่ได้ทำอะไรให้เห็นว่าการเลือกตั้ง ส.ว.ที่ผ่านมา มีใครทำผิดบ้าง ที่จำเป็นจะต้องพิสูจน์

ง่ายๆ เช่น การเปิดหีบบัตรลงคะแนนเพื่อพิสูจน์ว่าการลงคะแนนเหล่านั้นเป็นไปตามโพยหรือเป็นไปโดยธรรมชาติเพื่อให้หมดมลทินก็ไม่ทำ

ยิ่งปล่อยไปยิ่งทำให้ประชาชนคิดมากว่าขบวนการฮั้ว ส.ว.นี้ยิ่งใหญ่มากและน่าจะมีคนที่มีอำนาจอิทธิพลร่วมมือกัน จนแม้กระทั่ง กกต.ก็ไม่กล้าทำหน้าที่

แม้แต่การประชุมเพื่อพิจารณาว่าคดีทุจริตเลือก ส.ว. สามารถเป็นคดีพิเศษให้ DSI เข้าไปทำได้หรือไม่ ยังต้องเลื่อนออกไป มีข่าวว่ามีการล็อบบี้จนคนไม่กล้าลงคะแนน ไม่กล้าประชุมให้ DSI ทำคดี

การประชุมใหม่ ยังไม่แน่ว่า DSI จะสามารถรับคดีนี้มาทำได้ ถ้าอยากจะทำก็คงต้องให้คนมาร้องเรียน เฉพาะคดีอาญา และให้ DSI ทำในขอบเขตอำนาจตัวเองเท่านั้น (บทความนี้เขียนก่อนมีการประชุมครั้งที่ 2)

นี่ก็นับเป็นเรื่องแปลกเพราะปกติเวลามีคดีใหญ่ที่เกี่ยวพันกับหลายฝ่าย มักจะมีการร่วมกันเพื่อช่วยกันสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำความผิดและผู้อยู่เบื้องหลังมาลงโทษ แต่เรื่องนี้คล้ายมีการกีดกัน

ดังนั้น ผู้ที่พบเห็นการกระทำทุจริตเพราะร่วมอยู่ในเหตุการณ์และผู้ที่ต้องการเห็นระบอบประชาธิปไตยเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ต้องไม่ยอมง่ายๆ ควรจะเดินหน้าเปิดโปงและให้ข้อมูลทุจริตมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ DSI มีแนวทางสืบสวนไปบ้างแล้ว

 

มีการวางแผนตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ส.ว.

แบบที่ DSI กล่าวหา

เมื่อ ส.ว.ชุดแต่งตั้งใกล้หมดวาระลง มีคนเห็นช่องว่างของรัฐธรรมนูญ 2560 และ พ.ร.ป. 2561 ว่าด้วยการคัดเลือก ส.ว. จึงได้เสนอความคิดนี้เข้าไปในกลุ่มที่ต้องการสะสมกำลังทางการเมือง

แม้กฎหมายจะห้ามพรรคการเมืองมายุ่งเกี่ยว แต่คนกลุ่มนี้ก็หาวิธีการโดยไม่กลัวผิดกฎหมายและไม่กลัวกรรมการรู้เห็น เพื่อที่จะเอาคนไปลงสมัครในกลุ่มอาชีพและจัดการให้เลือกตามเป้าหมาย

การคัดเลือก ที่ต้องทำถึง 6 รอบ ใครๆ ก็บอกว่าไม่ง่าย เพราะนี่จะเป็นการจัดฮั้วถึง 6 รอบ และต้องใช้คนจำนวนมาก

แต่ก็มีคนกล้าทำ

แนวคิดในการวางแผน ต้องย้อนจากการคัดเลือกระดับประเทศไปสู่ระดับอำเภอ

ความคิดของผู้ที่จัดการฮั้วเลือก ส.ว.นี้มาจากการกำหนดกลุ่มอาชีพไว้เพียงแค่ 20 กลุ่ม และกำหนดไว้ว่าในแต่ละจังหวัดให้คัดเลือกเข้ามาเพียงกลุ่มละ 2 คน 20 กลุ่มอาชีพก็ได้ไม่เกิน 40 คน แสดงว่า 1 จังหวัดไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก เช่น กรุงเทพฯ หรือสตูล ก็จะส่งตัวแทนเข้ามาได้อาชีพละ 2 คน รวมไม่เกิน 40 คนเท่ากัน

ดังนั้น ถ้านับรวม 77 จังหวัด แต่ละกลุ่มอาชีพก็จะมีตัวแทนไม่เกิน 154 คน รวมทุกกลุ่มอาชีพก็จะมีคนผ่านการคัดเลือกสู่ ส.ว.ในระดับประเทศ ประมาณ 3,000 คน

ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของฝ่ายที่จัดฮั้ว คือต้องหาคนที่เขาเตรียมไว้เข้ามาอาชีพละ 40-50 คน ก็จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังมากที่สุด โอกาสชนะเกินกว่าครึ่งอย่างแน่นอน การเตรียมคนจังหวัดต่างๆ ไม่ต้องครบทั้ง 77 จังหวัด ก็สามารถหาได้ อาชีพละ 40-50 คน แต่ควรจะมาจาก 20 กลุ่มอาชีพ รวมแล้วประมาณ 1,000 คน เท่ากับ 1 ใน 3 เลือกแบบไหนก็ชนะ

พวกเขาเปลี่ยนการเลือกกันเอง ให้เป็นเลือกตามโพย

ตามกฎ ส.ว.ที่ผ่านคัดเลือกมาจากจังหวัดต่างๆ เข้าระดับประเทศ กลุ่มละ 154 คนนี้ก็จะถูกคัดมาเป็น ส.ว.ของกลุ่มอาชีพ 10 คน และเป็นสำรองอีก 5 คน ถ้าทำตามแผนได้ พวกเขาจะมี ส.ว.จัดตั้งไม่น้อยกว่ากลุ่มอาชีพละ 5-6 คน

 

การจัดหา 1,000 คนเข้าสู่ระดับประเทศ

ต้องเลือกเป้าหมาย

หาคนผ่านการคัดเลือกสู่ระดับประเทศ 1,000 คน ฟังแล้วอาจจะรู้สึกว่ายากมาก

แต่สำหรับพวกจัดฮั้ว ส.ว. พวกเขาทำได้เพราะเขามีเงิน มีอำนาจ และอยู่ในระบบการปกครอง มีสายจัดตั้งลงไปถึงระดับอำเภออยู่แล้ว

การคัดเลือก 928 อำเภอ อำเภอละ 20 กลุ่มอาชีพ แค่ส่งคนสมัครกลุ่มอาชีพละ 1 คนก็ต้องใช้คนถึง 18,560 คน ซึ่งถ้าไม่วางแผนแต่ละอำเภอที่ส่งคนไปสมัครอาจจะแพ้เกือบหมดก็ได้

ดังนั้น การกำหนดยุทธศาสตร์ในขอบเขตทั่วประเทศจึงมีความสำคัญ

1) ขั้นต้นต้องเลือกจังหวัด ถ้าตัดสินใจทำจังหวัดใดต้องทำอย่างจริงจัง ทุกอำเภอ เพราะถ้าทำครึ่งๆ กลางๆ จะไม่ชนะ เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆ ไม่สนใจจังหวัดใหญ่ๆ แต่เลือกจังหวัดเล็ก

เช่น ที่กรุงเทพฯ ต้องต่อสู้กับคู่แข่งที่มาจาก 50 เขต เขตละ 3 คน รวม 150 คนต่อกลุ่มอาชีพ แล้วคัดทิ้ง 148 เอาเพียงแค่ 2 คน ในขณะที่บางจังหวัดมี 8 อำเภอเท่านั้น ซึ่งจะมีคนแข่งขันไม่เกิน 24 คน สามารถจัดฮั้วง่าย จะได้ 2 คนเป็นตัวแทนระดับจังหวัดง่ายกว่า

2) เลือกจังหวัดที่มีสายงานเครือข่ายการจัดตั้ง และบ้านใหญ่ ฝ่ายตนเองมีนักการเมืองระดับประเทศหรือนักการเมืองท้องถิ่นที่แอบช่วยสนับสนุนโดยอ้อมผ่านหัวคะแนนดั้งเดิม ซึ่งมีอยู่แล้วในทุกอำเภอ ไม่เลือกเขตอิทธิพลของคู่แข่ง

3) ส่วนจังหวัดที่ไม่สามารถจัดได้ก็ค่อยหาทางไปดึงมาเป็นแนวร่วมตอนที่เข้าสู่ระดับประเทศ

การดึงเป็นแนวร่วมนั้นทำได้ 2 แบบคือ แบบแลกเปลี่ยนคะแนน และแบบให้สิ่งตอบแทนในรูปของเงินหรือตำแหน่งทางการเมือง

 

การปฏิบัติจริง

เริ่มจากอำเภอ ผ่านจังหวัด สู่ประเทศ

ปรากฏการณ์จริงในการคัดเลือก ส.ว. จากคำบอกเล่าของพยานที่เข้าไปร่วมสมัครและคัดเลือก ส.ว.ในระดับต่างๆ มีดังนี้

1. พวกเขาให้คนไปลงสมัครระดับอำเภอ ซึ่งต้องเสียเงิน 2,500 บาทเป็นค่าสมัครและค่าเสียเวลาไปเลือก 1-2 ครั้ง จึงต้องจ่ายเงินประมาณ 5,000-8,000 บาท เหมารวมทั้งค่าสมัคร ค่าถ่ายรูป ค่ารถ อื่นๆ ด้วย ต้องจัดคนประมาณกลุ่มอาชีพละ 5 คน รอบแรกเลือกกันเอง ได้เปรียบกว่าผู้ที่สมัครอิสระที่มา 1 หรือ 2 คน จึงผ่านรอบแรกไปตามเป้าหมายคือ 2-3 คน ใน 5 คน

เมื่อเข้ารอบ 2 เลือกไขว้กับกลุ่มอื่นที่จับสลากมา แต่พวกเขาจัดตั้งไว้แล้ว 12-20 กลุ่มอาชีพ จึงได้เปรียบเมื่อมีการเลือกไขว้ จับสลากยังไงก็เจอพวกกันเอง การคัดเลือกเอาตัวแทน 3 คน ก็มีโอกาสได้ 2-3 คนในเกือบทุกกลุ่มอาชีพที่เตรียมไว้ เข้าสู่ระดับจังหวัด ส่วนคนที่สอบตกก็หมดหน้าที่เดินทางกลับบ้าน

ปรากฏการณ์วันสุดท้าย ในกลุ่มที่มีคนสมัครน้อย หรือบางทีไม่มีเลย มีการระดมคนไปลงสมัคร (โดยไม่สนใจว่าคุณสมบัติจะตรงกับกลุ่มอาชีพหรือไม่) ในหลายจังหวัด กกต.ถูกกล่าวหาว่าละเลย ทำให้พวกนี้ได้รับเลือกตั้งแต่ระดับอำเภอโดยไม่มีคู่แข่ง

2. เมื่อเข้าสู่ระดับจังหวัดพวกเขาสามารถรวมกันจากหลายอำเภอกลายเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุด ได้ 10-20 คน (แล้วแต่จำนวนอำเภอ) ในแต่ละกลุ่มอาชีพ พอเลือกกันเอง รอบแรกก็จะชนะเข้ารอบถึง 3 คนใน 5 คนของกลุ่มอาชีพนั้น พอถึงรอบ 2 ไปเลือกไขว้ เกือบทุกกลุ่มอาชีพจะมีคนของพวกเขาอยู่ประมาณ 2-3 คน แต่ละสายมีคนเลือก 4 กลุ่มก็เท่ากับ 12-16 คน ดังนั้น จึงได้เปรียบผู้สมัครทั่วไป คนมีชื่อเสียงจึงสอบตกตั้งแต่ระดับจังหวัด แต่คนในระบบฮั้ว สามารถทะลุผ่านเข้าไปสู่ระดับประเทศได้สบาย

จากการหาข่าวในการเลือก ส.ว.อำเภอ ประเมินว่ากลุ่มที่จัดฮั้วทำได้ประมาณ 40 จังหวัดเป้าหมาย คือจะได้ตัวแทนระดับจังหวัดทุกอาชีพ ในแต่ละจังหวัด 20-35 คน กระบวนการทั้งหมดต้องเตรียมคนผ่านเครือข่ายไว้กว่าหมื่นคนตั้งแต่ระดับอำเภอ จึงสามารถทะลุผ่านมาถึงรอบประเทศได้ทุกกลุ่มอาชีพ ประมาณ 1,000 คนจากผู้เข้ารอบ 3,000 คน

คนจำนวนมากที่ไปรับจ้างฮั้ว สมัครและลงคะแนนให้ไม่รู้เลยว่า ที่ทำไปนั้นเหมือนฆ่าช้างเอางา ไม่คุ้มค่า และสร้างบาปแก่ประเทศอย่างมหันต์

ส่วนคนที่เข้าสู่ระดับประเทศ จะเต็มใจให้หลอกอย่างไร อ่านตอนต่อไป