ไทยในบริบทของ อุยกูร์

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

โลกทรรศน์ | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

 

ไทยในบริบทของ อุยกูร์

 

ข้อมูลที่แตกต่าง

ข้อมูลของรัฐไทย

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงว่า1

“…ได้วางแนวทางปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา รัฐบาลเป็นห่วงว่าหากส่งชาวอุยกูร์กลับไปแล้วจะเกิดปัญหาหรือไม่ ยืนยันเราทำตามกระบวนการที่มั่นใจว่าถูกต้อง ทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสากล และ พ.ร.บ.การอุ้มหาย ซึ่งปัจจุบันไม่พบปัญหาตามที่ทุกคนมีข้อกังวลและไม่อยากให้จินตนาการ จะทำให้เกิดปัญหาและเรื่องราวตามมา ไม่ส่งผลดีต่อประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาชาวอุยกูร์อยู่ประเทศไทยประมาณ 10 ปี โดยเราจะใช้แนวทางในการส่งกลับไปประเทศที่ 3 หรือเจ้าของประเทศขอรับกลับ เราก็จะพิจารณาโดยยึดความสมัครใจว่าหากเดินทางกลับไปแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดปัญหา และทางจีนยืนยันว่า บุคคลดังกล่าวไม่ใช่ผู้ที่ทำผิดร้ายแรงอะไร เมื่อเดินทางกลับไปแล้วจะจัดหาอาชีพ…”

“…มีการติดต่อทางการทูต จีนร้องขอมาที่กระทรวงการต่างประเทศ เราได้ดูอย่างรอบคอบและดีว่าจะไม่สร้างผลกระทบกระเทือนหรือสร้างปัญหา สิ่งที่ทุกคนเป็นห่วง รัฐบาลเป็นห่วงว่าส่งไปแล้วจะสร้างปัญหาหรือไม่ เราดำเนินการตามกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ ถูกต้อง พ.ร.บ.อุ้มซ้อมทรมาน”

“เรามั่นใจว่าชาวอุยกูร์ที่ส่งไปจะไม่พบปัญหากับสิ่งที่ทุกคนกังวล เราจะชี้แจงทั้งหมด ไม่อยากให้จินตนาการ…”

 

ข้อมูลที่ไม่ใช่ของรัฐไทย

เป็นข้อมูลของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานกรรมาธิการ พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา แถลงว่า

“…กรรมาธิการได้ออกแถลงการณ์แสดงถึงความกังวลและห่วงใยต่อกรณีที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับไปประเทศต้นทาง ซึ่งที่ผ่านมา กมธ.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้ที่ถูกกักขัง ได้เขียนจากเศษกระดาษส่งมาให้ กมธ.เพื่อส่งต่อกงสุลใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ UNHCR โดยระบุชัดเจนว่า ไม่ประสงค์จะกลับประเทศจีน โดย กมธ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ถึง 3 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธมาตลอด และเมื่อ กมธ.ประสงค์จะเข้าเยี่ยมผู้ลี้ภัย แต่ก็ได้รับหนังสือตอบกลับมาว่า ขอเชิญให้ไปพบที่สำนักงาน ตม. …”

เรื่องการส่งชาวอุยกูร์กลับไปที่ซินเกียง ประเทศจีนครั้งนี้สร้างความสับสนอย่างใหญ่หลวงเรื่องข้อมูลที่เป็นจริงชนิดตรงกันข้ามระหว่างรัฐไทยกับฝ่ายที่ไม่ใช่รัฐไทย

ข้อมูลจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหมยืนยันว่า ได้มีหนังสือจากทางการจีนมาถึงกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ เรื่องชาวอุยกูร์กลุ่มนี้สำหรับรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่เพิ่งคิดและดำเนินการ แต่ดำเนินการมานานแล้ว อ้างว่าเป็นเดือนแล้ว แต่ที่จัดแถลงช้าเพราะรอให้ทางการจีนดำเนินการให้เรียบร้อย

ประเด็นสำคัญคือ รัฐไทยเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่หลายๆ ฝ่ายห่วงใยคือ เกิดปัญหาหรือตรงๆ คือ ถูกซ้อม ทรมาน หรือตายได้ ซึ่งก็เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างแล้วในประเทศจีน แม้จะไม่ใช่แค่ชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมาไทยเท่านั้น แต่มีข้อมูลหลายกรณีมากซึ่งอ้างอิงโดยหน่วยงานองค์การระหว่างประเทศ

ดังนั้น รัฐไทยจึงยึดหลักเมตตาและกังวลในปัญหาที่หลายฝ่ายกังวล โดยรัฐมนตรีกลาโหมแถลงให้เห็นว่า รัฐไทยแน่ใจว่าไม่เกิดปัญหา ด้วยทางการจีนรับปากว่าจะไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งรัฐไทยแน่ใจตามที่รัฐบาลจีนบอกมา

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การส่งชาวอุยกูร์กลับโดยความสมัคร เรื่องนี้รัฐมนตรีกลาโหมก็ย้ำว่า โดยสมัครใจ แล้วนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ยังให้สัมภาษณ์ว่า เห็นไหมโดยชาวอุยกูร์สมัครใจ ไม่ได้บังคับ เห็นไหมไม่มีใครถูกใส่กุญแจมือ ไม่มีการเอาผ้าคลุมหัวแล้วฉุดกระชาก

คำยืนยันของนายกรัฐมนตรีแปลก บางเบาและดูทีเล่นทีจริงเหมือนหลายเรื่องที่ตอบคำถามสื่อ เพราะพูดหลังจากที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในตอนแรกว่า ไม่รู้เรื่อง ยังไม่ได้รับรายงาน ให้สอบถามรัฐมนตรีกลาโหม

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ จีนไม่ได้ผลักดันหรือกดดันอะไร ทำดีด้วยเพราะทำหนังสือการทูต แต่รัฐมนตรีกลาโหมพูดเองว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธารคราวไปเยือนจีน ไปพบนายกรัฐมนตรีจีน หลี เฉียง แต่สื่อมวลชนอาวุโสอธิบายว่า ทางนายกรัฐมนตรีหลี เฉียง พูดกับนายกรัฐมนตรีไทยเรื่องอุยกูร์อย่างเดียว ไม่ได้พูดเรื่องที่เมียวดี เมียนมา2 นายกรัฐมตรีแพทองธารให้สัมภาษณ์ว่า คุยกับผู้นำจีนด้วยตัวเอง 40 ชาวอุยกูร์จะปลอดภัย ไม่ถูกดำเนินคดี ยันไม่ชัวร์ไม่ทำ3

แต่พอดูคำแถลงของนางอังคณา ซึ่งไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักว่า เป็นฝ่ายตรวจสอบต่อรัฐเรื่องสิทธิมนุษยชน เธอยืนยันว่า ชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไม่ได้อยากลับไปที่ซินเกียง จีน แล้วยังอ้างหนังสือร้องเรียนจากผู้ต้องขังที่มาถึงเธอ ซึ่งเธอได้ทำหนังสือส่งไปสำนักงาน ตม.ถึง 3 ครั้งแต่เรื่องก็เงียบ

 

คำถามที่ไร้คำตอบ

ตอนนี้เรื่องไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนได้พัฒนาไปใหญ่โตระดับนานาชาติแล้ว แล้วยังมีทีท่าว่าจะขยายไปอีกเรื่อยๆ

มีคำตอบจากรัฐไทยและนักวิชาการบางท่านชี้ว่า เรื่องนี้ไทยไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย เบื้องต้นคงไม่ใช่ว่าไทยจะได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการค้า

ตรงนี้อาจจะจริงเพราะยังไม่เห็นอะไรทำนองนี้ รัฐไทยก็บอกว่า ไทยไม่มีทางเลือก แต่ความจริงคือ การส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เคยเกิดขึ้นมาแล้วในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

คำถามต่อรัฐบาลประยุทธ์กับรัฐบาลแพทองธารส่งชาวอุยกูร์กลับเป็นการยอมตามความต้องการของจีน ดังที่มีการอ้างว่า มีหนังสือจากจีนเรื่องนี้ หนังสือทางการจีนคงไม่ใช่แค่ถามความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์เท่านั้น แปลกเช่นกัน ไม่มีใครเห็นหนังสือฉบับนี้ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรนำมาเปิดเผย

เช่นกัน รัฐมนตรีกลาโหมแถลงว่า ทางการไทยสอบถามรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลสหภาพยุโรปว่าประเทศไหนบ้างจะรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้กลับไปบ้าง ท่านรัฐมนตรีบอกว่า ไม่มีเลย ถามไปตั้งนานแล้ว ถามว่าทำไมไม่ส่งไปประเทศที่ 3 เคยส่งไป 190 คน แต่หลังจากนั้นตุรกีไม่มีคำตอบอีกเลย ประเทศสิทธิมนุษยชนก็ไม่พูดอีกเลย ถามทุกปี ทูตสหรัฐ ทูตสหภาพยุโรปก็ถาม

แต่ข่าวภาคค่ำช่อง TBPS 28 กุมภาพันธ์รายงานว่า ผู้สื่อข่าวสอบถามอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เรื่อง ประเทศที่กระทรวงการต่างประเทศส่งหนังสือสอบถามเรื่องนี้มีประเทศไหนบ้าง คำตอบคือ ให้ดูหนังสือไม่ได้ แต่ทำเรื่องผ่านทางองค์การระหว่างประเทศ

ความสำคัญของหนังสือทั้ง 2 ฉบับที่รัฐไทยไม่ยอมเปิดเผยมีสูงมาก เพราะหนังสือราชการทั้ง 2 ฉบับช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือ ความเป็นเหตุเป็นผลที่ฟังขึ้นสำหรับรัฐไทยที่ส่งชาวอุยกูร์กลับไป แต่รัฐบาลไทยกลับไม่เอาหนังสือออกมายืนยันความจริงของตัวเอง แปลกไหมครับ

นี่เป็นอีกเรื่องใหญ่ที่น่าเป็นห่วงประเทศไทย

 

1“ภูมิธรรมตั้งโต๊ะ แจงปมส่งกลับอุยกูร์ ย้ำสมัครใจ ไร้บังคับ เผยจีนรับปากดูแล พร้อมเช็กความปลอดภัยต่ออุยกูร์” มติชน 27 กุมภาพันธ์ 2568.

2สุทธิชัย หยุ่น รายการคุยให้คิด ช่อง TPBS 28 กุมภาพันธ์ 2568

3อ้างจาก The Standard 28 กุมภาพันธ์ 2068