เกมล้ม “ส.ว.สีน้ำเงิน” | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ | จรัญ พงษ์จีน

เกมล้ม “ส.ว.สีน้ำเงิน”

ยกระดับเข้าสู่วังวนอันตรายเข้าไปเรื่อยๆ “วุฒิสภา” ที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งกันเอง สะเด็ดน้ำเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 ตีนตุ๊กแกมาได้จิ๊บๆ เพียง 8 เดือน ทำท่าจะป่าช้าแตก โดน “งานเข้า” ครั้งใหญ่

เริ่มเรื่อง จากลุ่มผู้สมัคร ส.ว.ที่สอบตก กับ “ว่าที่ ส.ว.” ที่อยู่ในบัญชีสำรอง ยื่นเรื่องให้ “กกต.” ตรวจสอบ แล้ว “สอย” พวกได้รับเลือก ที่ได้รับการ “ปล่อยผี” ไปก่อนหน้านี้ มีความผิดหลายกรรมหลายวาระ เป็นต้นว่า ชวนให้เกิดข้อสงสัยว่าน่าจะมีการกระทำความผิด ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ได้มาโดยไม่ชอบธรรม เพราะพบว่า บางจังหวัดมี ส.ว. 14 คน 9 คน 7 คนบ้าง มันไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์

การเลือกกันเอง มีการวางแผนซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเป็นขบวน ไม่มีความโปร่งใสมาตั้งแต่ “น้ำแรก” ระดับอำเภอ โดยจัดผู้สมัครกลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอทั้ง 928 อำเภอ ทำให้บางจังหวัดมีผู้สมัครจำนวนมาก มีการจ่ายค่าตอบแทนกันเบื้องต้น 5,000 บาท ระดับจังหวัด 100,000 บาท และก๊อกสุดท้ายระดับประเทศ 100,000 บาท หากได้ ส.ว.ตามเป้า จะได้เงินเพิ่มอีก 100,000 บาท

จึงนำเรื่องต่างๆ เหล่านี้เข้ายื่นร้องเรียนต่อสำนักงาน กกต. ร้องคัดค้านการเลือก ส.ว.ว่าไม่สุจริต และเที่ยงธรรม มีการ “ฮั้ว” กันอย่างอึกทึกครึกโครม แต่แทนที่ กกต.จะเร่งมือดำเนินการตามคำร้อง กลับ “รำวง” เท่งป๊ะต๊ะติ๊งโหน่ง

ตามมาตรา 62 กำหนดเอาไว้ว่า หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศผลเลือกตั้ง ส.ว.แล้ว ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ผู้สมัครหรือผู้ใดซึ่งไม่ใช่ผู้สมัคร กระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือก หรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น อันทำให้การเลือกไม่ได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม กกต.สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นได้

แต่เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 กกต.มีประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ว. 200 คน และสำรอง 99 คน ทั้งๆ ที่มีประเด็นร้องเรียน 47 เรื่อง ทั้งฮั้ว บล็อกโหวต จัดตั้ง แต่ กกต.กลับเพิกเฉย ดึงจังหวะ จนกางเกงหลุดตูดโผล่

“กลุ่ม ส.ว.สำรอง” ที่ชักตะพานแหงนรอ หวังว่าตัวเองจะได้เลื่อนขึ้นเป็น ส.ว.กับเขาบ้าง หาก กกต.ดำเนินการตามร้อง แต่ทำท่าจะรับประทานแห้วถาวร ก็เลยตีกรรเชียงไปหากลวิธีใหม่

 

นั่นก็คือ กลุ่ม ส.ว.สำรอง ภายใต้การนำทีมของ พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว นำหลักฐานย้ายข้ามเขตไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ “ดีเอสไอ.” ก็เลย “เป็นเรื่อง” เพราะ “พล.ต.ท.คำรบ” ไม่ใช่อดีตนายตำรวจเก่าที่เกษียณแก่หงำเหงือกดุจขอนไม้ไร้ค่า ทว่า ก่อนปลดระวาง มีตำแหน่งแห่งหนถึง “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ยังมือฉมังด้านหลักฐานเพราะเคยนั่งเก้าอี้ “ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ”

จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่ประการใด หลักฐานประจักษ์พยานที่ “กลุ่ม ส.ว.สำรอง” นำไปยื่นร้องกับดีเอสไอ มีครบบริบูรณ์ทุกองค์ประกอบ ทั้งโพยกระดาษ มีตารางเขียนตัวเลข ที่ถูกขยำทิ้งไว้ในห้องน้ำ เมืองทองธานี สถานที่เลือกโค้งสุดท้ายระดับประเทศ

ด้วยความช่ำชองทางการสืบสวน เมื่อพบร่องรอยต้องบันทึกไว้ มีการนำมือถือมาถ่ายรูปโพยกระดาษเก็บไว้ มีตัวเลขที่ปรากฏบนกระดาษที่เป็นหลักฐาน นำมาเปรียบเทียบกับการลงคะแนน ส.ว. พบกลุ่มหมายเลขซ้ำๆ ตรงกันสูงกว่า 100 คนได้รับเลือกตรงตามโพย

“ส.ว.สำรอง” กับผู้สมัคร ส.ว.ที่พาเหรดกันตกทั้งระดับจังหวัด-ประเทศ นำมามัดรวมเข่งเข้าด้วยกัน และยื่นร้องเรียนตรงกับดีเอสไอ จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญยิ่งให้ดีเอสไอเดินหน้าสืบสวนสอบสวนเชิงลึก ยิ่งขุดยิ่งเจอ นอกจากโพยปริศนาแล้ว ยังมีเงื่อนงำจากพยานบุคคล

ดีเอสไอไม่งมโข่งให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้เชื่อมและเชื่อได้ว่า มีการกระทำกันเป็นขบวนการรูปแบบคณะบุคคล จัดตั้งกันเป็นเครือข่าย ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่ง ส.ว. มีการวางแผนกันสลับซับซ้อน เฉพาะในกลุ่มขบวนการ นัดหมายทำโพยฮั้วกันในพื้นที่ โดยในโรงแรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดแม่น้ำ ปทุมธานี และนครนายก มีการแจกเสื้อสีเหลืองให้ผู้สมัคร อำนวยความสะดวกโดยจัดหารถตู้รับส่งไปเมืองทองธานี มีผู้สมัครร่วมขบวนการ 1,200 คน ผลการเลือกตั้งรอบเช้าและรอบไขว้ เป็นไปตามโพยฮั้ว มีผู้ได้รับเลือก 138 คน สำรอง 2 คน

ที่ “โกโซบิ๊ก” ทำท่าจะ “ไปกันใหญ่” หลักฐาน ประจักษ์พยานที่ดีเอสไอได้รับจาก ส.ว.สำรอง นำมาแกะลายแทง บีบผลการสอบสวน นวดไปนวดมา เข้ากฎเหล็ก “ฮั้ว” เข้าข่ายฐานความผิดอาญาฐาน “อั้งยี่-ซ่องโจร-ฟอกเงิน” ซึ่งเป็นความผิดด้านความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 เป็นหนึ่งในกฎหมายอาญาซึ่งอยู่ในหมวดความมั่นคง โดยกำหนดองค์ประกอบความผิดเอาไว้ว่า

(1) ผู้ใด (2) กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด (3) อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี

“เกมล้ม ส.ว.สีน้ำเงิน” ค่อยๆ ยกระดับทีละสเต็ป ล่าสุดปีนบันไดไปอีกขั้น “ดีเอสไอ” อ้างคำร้องของ ส.ว.สำรอง และผู้สมัคร ส.ว. 3 คน ระบุว่าทั้ง 3 คำร้อง “พบว่ามีการกระทำความผิดทางอาญา”

ทางดีเอสไอต้องรับสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำความผิดทางอาญา “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” อธิบดีดีเอสไอ นำกรณีดังกล่าวไปขอมติต่อที่ประชุม “คณะกรรมการคดีพิเศษ” เมื่อบ่ายแก่ๆ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ให้รับกรณีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.ไว้เป็นคดีพิเศษ โดยให้เหตุผลว่า

“พบว่ากระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม แบ่งหน้าที่กันทำ มีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศในการเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนน ออกเป็นโพยฮั้ว เพื่อให้ผลลัพธ์จำนวน ส.ว.ที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนเรียกว่า กลุ่มพลีชีพ หรือโหวตเตอร์”

งานนี้ “ส.ว.สีน้ำเงิน” มิต่างอะไรกับตุ๊กแกตัวเดียว สู้กับ แมงป่อง-งู-ตะขาบ โอกาส “รอดยาก” ครับ