ทำยังไงให้หัวหน้ารัก (แบบไม่ต้องประจบ)

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรfacebook.com/eightandahalfsentences

ธุรกิจพอดีคำ | กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

 

ทำยังไงให้หัวหน้ารัก

(แบบไม่ต้องประจบ)

 

“คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนที่ได้โบนัสเยอะที่สุดในออฟฟิศ ไม่ใช่คนที่ทำงานหนักจนหลังค่อมเหมือนคุณ แต่เป็นคนที่ ‘หัวหน้าเห็นแล้วยิ้มตาหยี’ น่ะ?”

ถ้าไม่เคยคิด ลองมองไปรอบๆ ออฟฟิศสิครับ คุณจะพบว่า “ความรัก” ของหัวหน้านั้น บางครั้งมีมูลค่าสูงกว่า KPI หรือยอดขายที่คุณทำได้เสียอีก (แอบเศร้านิดๆ ใช่ไหมล่ะ?)

แล้วทำยังไงล่ะให้หัวหน้ารัก?

หลายคนอาจคิดว่าต้องประจบแบบเด็กๆ ต้องเอาใจเหมือนคนรักใหม่ หรือแม้กระทั่งต้องเกิดมาพร้อม DNA แห่งความเป็น “ลูกรัก” ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน

แต่จริงๆ แล้วมันไม่ง่ายและไม่ยากอย่างที่คิด

 

ผมเพิ่งได้อ่านงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard Business School ที่ศึกษาพฤติกรรมของผู้นำองค์กรชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,000 คน พบว่า 78% ของผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญกับพนักงานที่มี “Proactive Personality” หรือพูดง่ายๆ คือ “คนที่ไม่รอให้สั่ง แต่คิดเองทำเองได้” มากกว่าพนักงานที่เก่งแต่นั่งรอคำสั่งเหมือนรอรถเมล์

นี่เป็นหนึ่งในทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ชื่อเพราะๆ ว่า “Leader-Member Exchange Theory” หรือทฤษฎี LMX (ชื่อยาวๆ แบบนี้เวลาไปพูดในออฟฟิศ คนจะทึ่งเองแหละ) ทฤษฎีนี้ระบุว่า หัวหน้ามักแบ่งลูกน้องออกเป็นสองกลุ่มโดยอัตโนมัติ :

1. In-Group – กลุ่มที่หัวหน้าไว้วางใจ ให้โอกาสพิเศษ (และให้โบนัสเพิ่ม)

2. Out-Group – กลุ่มที่ได้แค่เงินเดือนตามสัญญา (บางทีเงินเดือนยังไม่ครบเลย)

การเข้าไปอยู่ใน In-Group ไม่ใช่เรื่องของการ “ประจบ” แต่เป็นเรื่องของการสร้าง “ความไว้วางใจ” และ “คุณค่า” ให้หัวหน้าเห็น

(ฟังดูดี แต่ทำยากมั้ย? ใจเย็น อ่านต่อไปก่อน)

 

เรื่องจริงในออฟฟิศไทย : “น้องแบงค์ VS น้องบอส”

น้องแบงค์ : เก่งมาก ทำงานหนักจนดึกทุกวัน ไม่เคยมาสาย (แต่มีสะลึมสะลือบ้าง) อยู่ออฟฟิศจนกินนอนที่โต๊ะได้เลย ทำงานได้ตาม KPI ทุกครั้ง แต่จะทำเฉพาะที่สั่งเท่านั้น ไม่เคยแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม และชอบบ่นในไลน์กลุ่มรุ่นเดียวกันเวลาไม่พอใจอะไร

น้องบอส : ทำงานได้ตาม KPI เหมือนกัน แต่ไม่เคยอยู่ดึก กลับตรงเวลาทุกวัน แหม่… บางทีกลับเร็วซะด้วยซ้ำ แต่เวลาประชุม เขาชอบยกมือพูดว่า “ผมขอเสนอไอเดียนอกกรอบหน่อยครับ” แม้บางครั้งไอเดียจะเพี้ยนไปหน่อย แต่เขามักจะพูดติดตลกว่า “ลองคิดนอกกล่องดูบ้างครับ เผื่อเราจะเจอโอกาสใหม่ๆ” และเวลามีปัญหา เขาจะเข้าไปคุยกับหัวหน้าโดยตรงพร้อมวิธีแก้ไข

ผลลัพธ์หลังจากผ่านไป 1 ปี คุณเดาถูกแล้ว – น้องบอสได้เลื่อนตำแหน่ง ได้โบนัส 3 เดือน ส่วนน้องแบงค์ได้แค่ไอแพดรุ่นเก่าเป็นของขวัญปีใหม่ (น่าสงสารมั้ยล่ะ?)

 

นี่เป็นตัวอย่างของทฤษฎี “Perceived Value” หรือ “คุณค่าที่ถูกรับรู้” ในออฟฟิศไทยแบบชัดๆ น้องบอสอาจไม่ได้ทำงานหนักกว่า แต่เขาสร้าง “คุณค่าที่มองเห็นได้” ให้กับหัวหน้ามากกว่า (ฉลาดจริงๆ เจ้าบอส)

5 เทคนิคเด็ดทำให้หัวหน้ารัก (แบบไม่ต้องซื้อของแพงให้)

จากประสบการณ์โค้ชผู้บริหารมากว่า 15 ปี (ไม่นับช่วงที่ตกงานนะ) ผมพบว่ามี 5 สิ่งที่ทำให้หัวหน้า “รัก” ลูกน้องโดยไม่รู้ตัว :

 

1. หาจุดปวดหัวของหัวหน้า แล้วช่วยแก้ไข

ทุกคนมีสิ่งที่ทำให้ปวดหัวในการทำงาน โดยเฉพาะหัวหน้าของคุณที่ต้องรับแรงกดดันจากข้างบนอีกที ลองสังเกตดูว่าอะไรที่ทำให้หัวหน้าคุณเครียดจนหน้าตาเหมือนคนอดนอน 3 วัน แล้วหาทางช่วยแก้ไข

ตัวอย่างชีวิตจริง : ลูกศิษย์ผมคนหนึ่งสังเกตว่าหัวหน้าเขาเครียดมากกับการทำรายงานส่งผู้บริหารทุกเดือน เหมือนจะเป็นจะตาย เขาเลยแอบไปเรียน Excel กับ Power BI ตอนกลางคืน แล้วอาสาช่วยทำเทมเพลตรายงานให้ พอเอาไปให้หัวหน้าดู หัวหน้าถึงกับร้อง “โอ้วว วู้วว”

ผลลัพธ์คือเธอกลายเป็นขวัญใจของหัวหน้าไปเลย

 

2. แสดงความคิดเห็นแบบเท่ๆ (มีข้อมูลรองรับด้วยนะ)

ในวัฒนธรรมไทยที่เราถูกสอนให้ “เด็กพูดน้อย ผู้ใหญ่พูดมาก” ทำให้หลายคนไม่กล้าแสดงความคิดเห็น

แต่ความจริงคือ หัวหน้าส่วนใหญ่เบื่อมากที่ต้องคิดคนเดียว นั่งตัดสินใจคนเดียว พูดคนเดียว

เทคนิคเด็ด : เวลาประชุม ลองเริ่มด้วยประโยคว่า “ผม/ดิฉันมีมุมมองที่อาจจะแตกต่างนิดหน่อยครับ/ค่ะ ผม/ดิฉันได้ลองศึกษาข้อมูลจากอุตสาหกรรมอื่นพบว่า…”

การแสดงให้เห็นว่าคุณได้ทำการบ้านมาเยอะจะทำให้ความคิดเห็นของคุณดูเจ๋งกว่าคนอื่น

(แถมอย่าลืมส่งข้อมูลให้หัวหน้าทางไลน์ด้วยนะ เผื่อเขาเอาไปอ้างต่อ)

 

3. รู้จักการสื่อสารแบบ “เอาจุดสำคัญมาก่อน”

การสื่อสารกับผู้บริหารเป็นศาสตร์และศิลป์ นักวิชาการฝรั่งชื่อ Barbara Minto จาก McKinsey ได้พัฒนาเทคนิคชื่อเท่ๆ ว่า “Pyramid Principle” ซึ่งเป็นการสื่อสารแบบเริ่มต้นด้วยข้อสรุปก่อน แล้วค่อยให้รายละเอียด (เหมือนดูหนังที่รู้ตอนจบก่อนเลย)

ลองแบบนี้ : แทนที่จะรายงานว่า “เมื่อวานนี้มีลูกค้าโทร.มาร้องเรียนว่าสินค้าเรามีปัญหา แล้วผมก็พูดแบบนี้ เขาพูดแบบนั้น แล้วเราก็คุยกันอีกพักใหญ่ สุดท้ายผม…” (หัวหน้าหลับไปแล้ว) ให้เริ่มด้วย “ผมได้แก้ปัญหาให้ลูกค้า VIP ที่ร้องเรียนเรียบร้อยแล้วครับ เขาพอใจมากและจะสั่งซื้อเพิ่ม ส่วนรายละเอียดคือ…”

(หัวหน้าจะรักคุณเลย)

 

4. อาสาทำงานที่ “เห็นผล” ชัดเจน

งานที่มี “Visibility” สูงๆ งานที่ผู้บริหารระดับสูงเห็น งานที่ลูกค้าชมเยอะๆ พวกนี้แหละที่จะทำให้หัวหน้ารักคุณ (แถมได้รูปถ่ายกับบิ๊กบอสไปโพสต์ FB ด้วย)

ตัวอย่างจากคนไทยใจกล้า : ในช่วงโควิด บริษัทแห่งหนึ่งที่ผมเป็นที่ปรึกษาอยู่ ต้องปรับตัวสู่ดิจิทัลแบบเร่งด่วนมาก

พนักงานคนหนึ่งกล้าอาสาเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการทำงานออนไลน์ ทั้งๆ ที่เธอไม่รู้เรื่องไอทีเลย (กล้ามาก)

แต่เธอเรียนรู้เร็วและรวบรวมทีมมาช่วยกันจนสำเร็จ

ปัจจุบันเธอได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการที่มีคำว่า “Digital” ในตำแหน่ง ซึ่งฟังดูเท่มากในยุคนี้

 

5. ใช้หลักจิตวิทยา “ให้ก่อน-ได้คืน” อย่างแนบเนียน

ทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคม (Social Exchange Theory) ของ Dr. Robert Cialdini ระบุว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะตอบแทนคนที่ให้อะไรกับเขาก่อน เหมือนเวลาคุณให้ขนมเพื่อนแล้วเพื่อนรู้สึกว่าต้องให้อะไรคุณคืนไงล่ะ

ลองทำดู : ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าก่อนที่เขาจะขอ เช่น ส่งบทความดีๆ ให้หัวหน้าอ่านทางไลน์ แชร์เทคนิคเด็ดๆ ที่คุณเพิ่งเรียนรู้มา หรือช่วยหยิบกาแฟให้ในวันที่เขาดูเหนื่อยๆ (ไม่ได้บอกให้ประจบนะ แต่ให้จริงใจ) เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจะรู้สึกว่าต้อง “ตอบแทน” คุณโดยอัตโนมัติ

ระวังนะ! เส้นบางๆ ระหว่าง “คนมีคุณค่า” กับ “คนประจบ”

มีเส้นแบ่งที่บางมากระหว่างการสร้างคุณค่าให้กับองค์กรกับการประจบหัวหน้าแบบน่าเกลียด (พูดตรงๆ คือหัวหน้าส่วนใหญ่รู้ทันนะว่าใครประจบ) สิ่งสำคัญคือ ทุกอย่างที่คุณทำต้องมาจากความตั้งใจจริงที่จะช่วยให้ทีมและองค์กรดีขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้หัวหน้าเห็นหน้าคุณเท่านั้น

ทฤษฎีจิตวิทยาที่ชื่อว่า “Authenticity in Leadership” ระบุว่า ผู้นำที่เก่งๆ เขารู้หมดแหละว่าใคร “จริงใจ” หรือใคร “เสแสร้ง” เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่ผมบอกข้างต้นจะได้ผลก็ต่อเมื่อคุณทำด้วยความจริงใจเท่านั้น

ไม่งั้นระวังจะไม่ได้โบนัสเลยนะ!

 

กลับมาที่คำถามแรก “ทำไมคนที่ได้โบนัสเยอะที่สุด ไม่ใช่คนที่ทำงานหนักที่สุด แต่เป็นคนที่หัวหน้ารักมากที่สุด?”

คำตอบก็คือ “เพราะหัวหน้าไม่ได้จ่ายเงินเดือนให้คุณจากความเหนื่อยของคุณ แต่จ่ายจากคุณค่าที่คุณสร้างให้กับเขาและองค์กร” (เศร้าแต่จริง)

ชีวิตการทำงานก็เหมือนเล่นเกม PUBG ครับ คุณจะรอดไม่ใช่แค่ด้วยการหลบซ่อนหรือยิงเก่ง อย่างเดียว แต่ต้องรู้จักหาของดีๆ และรู้จักเล่นเป็นทีม ด้วย ถึงจะได้ไก่ (โบนัส)!

และถ้าคุณยังสงสัยว่า “ทำไมต้องทำให้หัวหน้ารักด้วย?” คำตอบง่ายๆ ก็คือ “ไม่ต้องก็ได้ครับ คุณเลือกได้ แต่ถ้าคุณไม่ทำ คนอื่นเขาก็ทำอยู่ดี แล้วคนนั้นแหละที่จะได้เลื่อนขั้นก่อนคุณ” มันคือเกมชีวิตไงล่ะ มีกติกาของมัน และถ้าคุณรู้กติกา คุณก็มีโอกาสชนะมากกว่า

สุดท้ายนี้ ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดติดตลกที่ผมชอบบอกกับลูกศิษย์เสมอ :

“ถ้าอยากให้หัวหน้ารัก อย่าแค่ทำงานให้เสร็จ แต่จงทำให้ชีวิตของหัวหน้าง่ายขึ้น… แล้วคุณจะไม่เพียงได้โบนัส แต่จะได้อนาคตที่สดใสกว่าที่คิด (และเงินเดือนที่มากกว่าที่ฝัน)”

จำไว้นะครับว่า ในที่ทำงาน “ความรัก” ไม่ได้ซื้อกันด้วยกาแฟแก้วละร้อย ช็อกโกแลตแพ็กละพัน หรือของขวัญปีใหม่ราคาแพงลิบลิ่ว แต่ซื้อด้วย “คุณค่า” ที่คุณมอบให้กับทีมและองค์กรต่างหาก!

แล้วคุณล่ะ? จะเริ่มทำยังไงให้หัวหน้ารักคุณบ้าง? เริ่มวันนี้เลยนะ ก่อนที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จะแซงหน้าคุณไป!??