ทรัมป์กับไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต วิเคราะห์ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ และแนวโน้มในอนาคต (1)

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์/พัทธดลย์ โรจน์รัชสมบัติ

 

ทรัมป์กับไทย

: อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

วิเคราะห์ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐ

และแนวโน้มในอนาคต (1)

 

สวัสดีท่านผู้อ่านครับ

กลับมาเขียนต้นฉบับจากบอสตันแล้วครับ อากาศที่นี่หนาวติดลบ 10 องศา หิมะตกตลอดเวลา จนไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ เลยนั่งคิดถึงคำถามที่โดนถามบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะตอนอยู่ไทย ตอนอยู่บนเครื่องบิน หรือแม้แต่ตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่ว่าจะจากข้าราชการ นักธุรกิจ หรือนักการเมืองของทั้งสองประเทศ

“การกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์ในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง?”

ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในสหรัฐเอง หรือประเทศรอบข้างอย่าง แคนาดา เม็กซิโก และลามไปถึงสมรภูมิการเมืองโลกสำคัญ อย่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-ฮามาส จนมาถึงเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น อินเดีย

และอีกไม่นานก็คงจะมาถึงอาเซียนและประเทศไทย

ฉบับนี้ พิเศษนิดหนึ่ง เพราะเป็นการเขียนร่วมกันกับคุณพัทธดลย์ โรจน์รัชสมบัติ นักศึกษาไทยจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่ผมประทับใจมาก และคิดว่าต่อไปจะมีโอกาสได้เขียนร่วมกับนักเรียนไทยในต่างประเทศ ในหลายประเด็นที่น่าสนใจ

ขอใช้โอกาสนี้เขียนบทความแบ่งออกเป็นสองตอน

– ตอนแรก (ฉบับนี้) จะพูดถึง อดีตและปัจจุบัน-สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยทรัมป์ 1.0 และผลกระทบที่ยังคงอยู่ในวันนี้

– ตอนที่สอง (ฉบับหน้า) จะพูดถึง อนาคต-แนวโน้มของทรัมป์ 2.0 และสิ่งที่ประเทศไทยต้องเตรียมตัว

แต่ก่อนจะมองไปข้างหน้า เราต้องย้อนกลับไปดูอดีตว่าครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรกครับ

 

นโยบายของทรัมป์ 1.0 ต่อไทย

: การค้า ความมั่นคง และยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ (2017-2021) ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและไทยได้รับผลกระทบจากแนวทาง “America First” ซึ่งเน้นการลดการขาดดุลการค้า กดดันให้พันธมิตรเปิดตลาด และแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีน สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อไทยในหลายด้าน ทั้งการค้า เศรษฐกิจ และความมั่นคง

1. นโยบายการค้าและเศรษฐกิจ

การระงับสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP)

– 25 ตุลาคม 2019 : สหรัฐประกาศระงับสิทธิพิเศษทางการค้าสำหรับสินค้าไทยมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ ภายใต้ระบบ GSP

– 25 เมษายน 2020 : มาตรการนี้มีผลบังคับใช้

– เหตุผล : ไทยไม่ยอมให้สหรัฐเข้าถึงตลาดเนื้อหมู เนื่องจากไทยห้ามนำเข้าสินค้าที่มีสารเร่งเนื้อแดง ractopamine

การขึ้นบัญชีเฝ้าระวังการบิดเบือนค่าเงิน

– พฤษภาคม 2020 : กระทรวงการคลังสหรัฐ เพิ่มไทยเข้าใน Currency Manipulation Watch List

– เหตุผล : ไทยมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ความกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา

– ตั้งแต่ปี 2007 ไทยถูกจัดอยู่ใน Special 301 Report Watch List ของสหรัฐ

– รัฐบาลทรัมป์ยังคงให้ไทยอยู่ในบัญชีนี้ เนื่องจากปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า

2. ความสัมพันธ์ด้านความมั่นคง

การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทหาร

– หลังรัฐประหารปี 2014 สหรัฐลดความร่วมมือทางการต่างประเทศและทางทหารกับไทยลงภายใต้รัฐบาล บารัก โอบามา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทําเนียบขาว ร่วมประณาม “ผิดหวัง” ในรัฐบาลไทย

– 2 ตุลาคม 2017 : ทรัมป์เชิญนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา เยือนทำเนียบขาว ถือเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับสูง ส่งสัญญาณทรัมป์เต็มใจที่จะร่วมมือกับรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทหารหรือพลเรือนในการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์กับจีน

การฝึกซ้อมทางทหาร Cobra Gold

– ทรัมป์ฟื้นฟู Cobra Gold กลับสู่ระดับปกติในปี 2018 และถูกยกระดับเป็นการฝึกซ้อมที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี โดยมีกำลังพลมากกว่า 12,000 นายจาก 30 ประเทศเข้าร่วม รวมถึงทหารอเมริกัน 6,800 นาย เพิ่มจาก 3,600 นายในปี 2017

– 2019 : มีการเสริมกำลังทางทหารเพิ่มเติม รวมถึงการฝึกยุทธวิธีป้องกันภัยไซเบอร์

ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก และการแข่งขันกับจีน

– ทรัมป์เน้นลดอิทธิพลของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

– ไทยต้องเดินเกมถ่วงดุลระหว่างจีนกับสหรัฐ

 

ประเด็นปัจจุบันที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย

1.การเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายจำนวนมาก

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐ (ICE) รายงานว่ามีผู้อพยพผิดกฎหมายจากไทยกว่า 600 คนที่อยู่ในข่ายถูกเนรเทศ ซึ่งเป็นจำนวนที่ดูผิดปกติเมื่อเทียบกับชาวไทยที่มีเอกสารถูกต้องกว่า 300,000 คนในสหรัฐ

เข้าใจว่าสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมสำหรับการเนรเทศที่อาจเกิดขึ้น

2. การระงับความช่วยเหลือจาก USAID

รัฐบาลสหรัฐระงับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจบางส่วนผ่าน USAID ซึ่งอาจกระทบกับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สาธารณสุข และพัฒนาทางสังคมในไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยในหลายด้าน แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับมูลค่าความช่วยเหลือทั้งหมด แต่มีบางโครงการที่ได้รับการบันทึกไว้ ดังนี้ :

– ปี 2017 : สหรัฐอเมริกาได้มอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมมูลค่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช

– ปี 2020 : USAID ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ยูนิเซฟ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มประชากรเปราะบางในประเทศไทยในการรับมือกับวิกฤตโควิด-19

– ปี 2025 : มีรายงานว่า IHRI (สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี) ได้รับงบประมาณ 15% ขององค์กรจากรัฐบาลสหรัฐ ผ่านกองทุน USAID ซึ่งใช้ในการจ้างบุคลากรประมาณ 40% ของบุคลากรทั้งหมด เป็นต้น

เท่าที่ทราบยังไม่มีหน่วยงานไหนรวบรวมข้อมูลความเสียหายที่มาจากการรับความช่วยเหลือของ USAID ทว่า องค์กรด้านมนุษยธรรมและมูลนิธิช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงครามพม่าถูกกระทบจากการตัดงบฯ ครั้งนี้ โดยหมอและคนงานช่วยเหลือในค่ายลี้ภัยถูกเลิกจ้างและขาดทรัพยากรสําคัญจํานวนมาก

3. การสมัครเข้าร่วม BRICS ของไทย

ไทยอยู่ในขั้นตอนการสมัครเข้าร่วม BRICS (กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่นำโดยจีนและรัสเซีย) ซึ่งขัดกับแนวทางของทรัมป์ที่มองว่า BRICS เป็น “ภัยคุกคาม” ต่อระเบียบเศรษฐกิจโลกที่นำโดยสหรัฐ

ทรัมป์เคยกล่าวชัดเจนว่า หากประเทศพันธมิตรของสหรัฐ เช่น ไทย เข้าร่วม BRICS อาจถูกกดดันทางเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการภาษีและข้อจำกัดทางการค้า

 

นโยบายของทรัมป์ 1.0

มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับไทย

ข้อดี : ความสัมพันธ์ทางทหารกลับสู่ภาวะปกติ ไทยได้รับความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์

ข้อเสีย : ความขัดแย้งทางการค้า แรงกดดันด้านนโยบายผู้อพยพ และความเสี่ยงต่อมาตรการตอบโต้จากสหรัฐ

หลังจาก Trump 1.0 ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐกลับมาเสื่อมลงต่อในรัฐบาลของโจ ไบเดน ไบเดนเป็นผู้นําโลกคนเดียวนอกเหนือจากปูตินที่ไม่ได้เข้าร่วมงาน APEC 2022 หนึ่งในงานประชุมโลกที่สําคัญที่สุดที่ไทยเคยจัด และไม่ได้ร่วมประชุมอาเซียนปี 2023 แสดงให้เห็นว่าสหรัฐไม่ให้ความสําคัญกับทั้งอาเซียนและไทยพอเมื่อเทียบกับทรัมป์

ในวาระรัฐบาลเดโมแครตปี 2014-2017 ภายใต้โอบามา และ 2021-2024 ของไบเดน ประเทศไทยหมุนตัวไปเข้าค่ายกับจีนมากขึ้นอย่างชัดเจน ช่วงก่อนทรัมป์กลับเข้าทําเนียบขาวในวันที่ 20 มกราคม 2025 นายกฯ ไทยได้พบปะกับประธานธิบดีสี จิ้นผิง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนหลายครั้งเพื่อที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย-จีนมากขึ้น เราคงคาดได้ว่าทรัมป์คงติดตามข่าวเหล่านี้และเช่นเดียวกับในปี 2017 ทรัมป์อาจกลับมาให้ความสําคัญประเทศไทยอีกครั้งเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีน

คำถามสำคัญคือ

“ถ้าทรัมป์กลับมาในปี 2025 ไทยจะต้องเตรียมตัวอย่างไร?”

ผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ในฉบับหน้าครับ

 

หมายเหตุ : พัทธดลย์ โรจน์รัชสมบัติ

นักศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR Security Studies)

มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์, วอชิงตัน ดี.ซี.