Voting Turnout Voter Suppression and Voter Fatigue อัตราการเลือกตั้ง เทคนิคกีดกันประชาชน และความเหนื่อยล้าทางการเมือง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

Voting Turnout

Voter Suppression

and Voter Fatigue

อัตราการเลือกตั้ง

เทคนิคกีดกันประชาชน

และความเหนื่อยล้าทางการเมือง

 

ท่านเคยได้ยินคำว่า Voting Turnout, Voter Suppression และ Voter Fatigue ไหมครับ?

สามคำนี้กำลังกลายเป็นหัวข้อฮิต ไม่ใช่แค่ในวงการนักรัฐศาสตร์หรือนักการเมือง แต่ในวงสนทนาของประชาชนทั่วไปที่เริ่มตั้งคำถามกับระบบเลือกตั้งของบ้านเรา

ไม่ว่าผมจะคุยกับนักการเมือง นักวิชาการ หรือประชาชนในช่วงนี้ คำถามที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอคือ ทำไมคนเลือกตั้งน้อยลง?

ลองแยกกันดูทีละข้อครับ :

1. Voting Turnout – ตัวชี้วัดศรัทธาประชาธิปไตย

อัตราการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คือกระจกสะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชน ถ้าคนแห่กันไปใช้สิทธิ์เยอะ หมายความว่าพวกเขายังมีความหวังในระบบ แต่ถ้าคนไม่ไปเลือกตั้ง นั่นคือสัญญาณว่า “ฉันไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะเปลี่ยนอะไรได้”

2. Voter Suppression – เทคนิคกีดกันไม่ให้ประชาชนออกมาเลือกตั้ง

ไม่ใช่ทุกประเทศที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อมีผู้ใช้สิทธิ์มากขึ้น “คะแนนเสียงที่คาดเดาไม่ได้” ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้บางฝ่ายอาจเสียเปรียบ

เทคนิคกีดกันประชาชนมีตั้งแต่ :

– ทำให้การเลือกตั้งยุ่งยาก – การเปลี่ยนกฎการลงทะเบียนให้ซับซ้อน

– จัดให้วันเลือกตั้งไม่สะดวก – วันธรรมดา ไม่มีวันหยุด

– สร้างความรู้สึกว่า “เลือกไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน” – ปล่อยข่าวลือ หรือแม้แต่การเปลี่ยนผลเลือกตั้งโดยอำนาจที่มองไม่เห็น

3. Voter Fatigue – เมื่อประชาชนหมดแรงจะเลือก

ลองนึกภาพว่าทุกครั้งที่คุณลงคะแนน คุณคาดหวังว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายกลับ “เหมือนเดิม”

ครั้งแรกคุณอาจจะยังตั้งใจเลือก

ครั้งที่สองคุณอาจจะลังเล

แต่ถ้ามันเกิดขึ้นซ้ำๆ คุณอาจจะถามตัวเองว่า “ฉันเสียเวลาทำสิ่งนี้ไปทำไม?”

นี่คือ Voter Fatigue หรือความเหนื่อยล้าทางการเมือง ซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย จาก 78% เหลือ 55% – คนไทยเลือกตั้งน้อยลงเพราะอะไร?

ย้อนกลับไปเดือนพฤษภาคม 2566 การเลือกตั้งใหญ่ของไทยมี อัตราการใช้สิทธิ์สูงถึง 77-78% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อถึงการเลือกตั้งระดับจังหวัดเมื่อเดือนที่แล้ว ตัวเลขกลับเหลือแค่ 55%

นี่หมายถึง ประชาชนหลายล้านคนที่เคยตื่นตัว แต่อยู่ๆ ก็ตัดสินใจไม่ไปเลือกตั้ง

เกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่าทุกคนทราบดีว่า เลือกตั้งท้องถิ่นค่อนข้างลำบากสำหรับประชาชน เพราะมักไม่มีการเลือกตั้งข้ามเขต หรือล่วงหน้า ประชาชนต้องเดินทางกลับ แต่ถึงแม้รวมตัวเลขจำนวนคนเลือกตั้งล่วงหน้า ข้ามเขต กลับเข้าไป ตัวเลขคนมาเลือกตั้งก็น้อย หายไปอยู่ดี

– เบื่อหน่ายกับกระบวนการการเมือง?

– หมดหวังในผลลัพธ์?

– หรือรู้สึกว่า “ไม่มีใครเป็นตัวแทนของฉันจริงๆ”?

แนวโน้มทั่วโลก

: อัตราการเลือกตั้งที่ลดลง

เป็นเรื่องบังเอิญหรือถูกออกแบบมา?

นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของไทย แต่กำลังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

– สหรัฐอเมริกา -> การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 มีอัตราการเลือกตั้ง 66-67% แต่กลางเทอมปี 2022 เหลือแค่ 50%

– ยุโรป -> ประเทศนอร์ดิกยังมีอัตราการเลือกตั้งสูงกว่า 80% แต่ฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปนเริ่มเห็นแนวโน้มการลดลง

– เอเชีย -> ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีอัตราการเลือกตั้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว

จะทำให้ประชาชนกลับมาเลือกตั้งได้อย่างไร?

1.ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้การเลือกตั้งง่ายและโปร่งใสมากขึ้น

– E-Voting -> การลงคะแนนออนไลน์หรือเครื่องลงคะแนนแบบดิจิทัล

– Blockchain -> สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใสและลดโอกาสการโกง

– AI ตรวจสอบผลการเลือกตั้ง -> ตรวจจับความผิดปกติในแบบเรียลไทม์

2. สร้างวัฒนธรรมการศึกษาทางการเมือง (Civic Education)

– สอนเรื่องสิทธิ์เลือกตั้งตั้งแต่เด็ก -> ให้เยาวชนเข้าใจว่าคะแนนเสียงของพวกเขามีค่า

– สร้าง Election Information Portal -> แพลตฟอร์มกลางที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้สมัครและนโยบาย

– รณรงค์ให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งสำคัญ -> ต้องทำให้คนรู้ว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผลต่อชีวิตคุณจริงๆ”

3. ออกแบบกระบวนการเลือกตั้งให้ “เป็นมิตร” กับประชาชน

– เพิ่มจุดเลือกตั้งและขยายเวลา -> ลดปัญหาคิวแออัด

– ทำให้วันเลือกตั้งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ -> เพื่อให้ประชาชนมีเวลาไปใช้สิทธิ์

– ลดขั้นตอนยุ่งยากในการลงทะเบียน -> ทำให้สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้

บัตรเสีย : เมื่อคะแนนเสียงของประชาชนหายไปเพราะการออกแบบระบบเลือกตั้ง

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลเลือกตั้งถูกบิดเบือนคือ “บัตรเสีย”

อัตราบัตรเสียทั่วโลก

– สหรัฐอเมริกา -> 1-2%

– ฝรั่งเศส -> 1-3%

– อินเดีย -> 2%

– ไทย -> 5.6% (สูงกว่ามาตรฐานสากล)

ลดบัตรเสียได้อย่างไร?

– ออกแบบบัตรเลือกตั้งให้เข้าใจง่าย -> ใช้ดีไซน์ที่ชัดเจน ลดความสับสน

– ให้ความรู้แก่ประชาชน -> จัดทำคู่มือเลือกตั้งที่เข้าใจง่าย

– ใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบ -> เช่น เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ที่แจ้งเตือนหากบัตรไม่ถูกต้อง

บทสรุป

: อะไรคือการเลือกตั้งที่ดี?

1. อัตราการเลือกตั้งสูง -> ประชาชนต้องเชื่อว่าการเลือกตั้ง “มีความหมาย”

2. อัตราบัตรเสียต่ำ -> ระบบต้องเอื้อต่อการลงคะแนน ไม่ใช่สร้างความสับสน

3. ประชาชนต้องมั่นใจว่าคะแนนเสียงของพวกเขามีผล -> ถ้าคนเชื่อว่า “เลือกไปก็เท่านั้น” อัตราการเลือกตั้งจะลดลงเรื่อยๆ

การเลือกตั้งที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ แต่คือกระบวนการที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของฉันมีค่า และฉันมีส่วนร่วมกับอนาคตของประเทศนี้”

เพราะประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนเชื่อว่าเสียงของพวกเขามีความหมาย