ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
Voting Turnout
Voter Suppression
and Voter Fatigue
อัตราการเลือกตั้ง
เทคนิคกีดกันประชาชน
และความเหนื่อยล้าทางการเมือง
ท่านเคยได้ยินคำว่า Voting Turnout, Voter Suppression และ Voter Fatigue ไหมครับ?
สามคำนี้กำลังกลายเป็นหัวข้อฮิต ไม่ใช่แค่ในวงการนักรัฐศาสตร์หรือนักการเมือง แต่ในวงสนทนาของประชาชนทั่วไปที่เริ่มตั้งคำถามกับระบบเลือกตั้งของบ้านเรา
ไม่ว่าผมจะคุยกับนักการเมือง นักวิชาการ หรือประชาชนในช่วงนี้ คำถามที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาเสมอคือ ทำไมคนเลือกตั้งน้อยลง?
ลองแยกกันดูทีละข้อครับ :
1. Voting Turnout – ตัวชี้วัดศรัทธาประชาธิปไตย
อัตราการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คือกระจกสะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชน ถ้าคนแห่กันไปใช้สิทธิ์เยอะ หมายความว่าพวกเขายังมีความหวังในระบบ แต่ถ้าคนไม่ไปเลือกตั้ง นั่นคือสัญญาณว่า “ฉันไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะเปลี่ยนอะไรได้”
2. Voter Suppression – เทคนิคกีดกันไม่ให้ประชาชนออกมาเลือกตั้ง
ไม่ใช่ทุกประเทศที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อมีผู้ใช้สิทธิ์มากขึ้น “คะแนนเสียงที่คาดเดาไม่ได้” ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้บางฝ่ายอาจเสียเปรียบ
เทคนิคกีดกันประชาชนมีตั้งแต่ :
– ทำให้การเลือกตั้งยุ่งยาก – การเปลี่ยนกฎการลงทะเบียนให้ซับซ้อน
– จัดให้วันเลือกตั้งไม่สะดวก – วันธรรมดา ไม่มีวันหยุด
– สร้างความรู้สึกว่า “เลือกไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน” – ปล่อยข่าวลือ หรือแม้แต่การเปลี่ยนผลเลือกตั้งโดยอำนาจที่มองไม่เห็น
3. Voter Fatigue – เมื่อประชาชนหมดแรงจะเลือก
ลองนึกภาพว่าทุกครั้งที่คุณลงคะแนน คุณคาดหวังว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่สุดท้ายกลับ “เหมือนเดิม”
ครั้งแรกคุณอาจจะยังตั้งใจเลือก
ครั้งที่สองคุณอาจจะลังเล
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นซ้ำๆ คุณอาจจะถามตัวเองว่า “ฉันเสียเวลาทำสิ่งนี้ไปทำไม?”
นี่คือ Voter Fatigue หรือความเหนื่อยล้าทางการเมือง ซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย จาก 78% เหลือ 55% – คนไทยเลือกตั้งน้อยลงเพราะอะไร?
ย้อนกลับไปเดือนพฤษภาคม 2566 การเลือกตั้งใหญ่ของไทยมี อัตราการใช้สิทธิ์สูงถึง 77-78% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อถึงการเลือกตั้งระดับจังหวัดเมื่อเดือนที่แล้ว ตัวเลขกลับเหลือแค่ 55%
นี่หมายถึง ประชาชนหลายล้านคนที่เคยตื่นตัว แต่อยู่ๆ ก็ตัดสินใจไม่ไปเลือกตั้ง
เกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่าทุกคนทราบดีว่า เลือกตั้งท้องถิ่นค่อนข้างลำบากสำหรับประชาชน เพราะมักไม่มีการเลือกตั้งข้ามเขต หรือล่วงหน้า ประชาชนต้องเดินทางกลับ แต่ถึงแม้รวมตัวเลขจำนวนคนเลือกตั้งล่วงหน้า ข้ามเขต กลับเข้าไป ตัวเลขคนมาเลือกตั้งก็น้อย หายไปอยู่ดี
– เบื่อหน่ายกับกระบวนการการเมือง?
– หมดหวังในผลลัพธ์?
– หรือรู้สึกว่า “ไม่มีใครเป็นตัวแทนของฉันจริงๆ”?
แนวโน้มทั่วโลก
: อัตราการเลือกตั้งที่ลดลง
เป็นเรื่องบังเอิญหรือถูกออกแบบมา?
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของไทย แต่กำลังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
– สหรัฐอเมริกา -> การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 มีอัตราการเลือกตั้ง 66-67% แต่กลางเทอมปี 2022 เหลือแค่ 50%
– ยุโรป -> ประเทศนอร์ดิกยังมีอัตราการเลือกตั้งสูงกว่า 80% แต่ฝรั่งเศส เยอรมนี และสเปนเริ่มเห็นแนวโน้มการลดลง
– เอเชีย -> ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มีอัตราการเลือกตั้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาว
จะทำให้ประชาชนกลับมาเลือกตั้งได้อย่างไร?
1.ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้การเลือกตั้งง่ายและโปร่งใสมากขึ้น
– E-Voting -> การลงคะแนนออนไลน์หรือเครื่องลงคะแนนแบบดิจิทัล
– Blockchain -> สร้างระบบตรวจสอบที่โปร่งใสและลดโอกาสการโกง
– AI ตรวจสอบผลการเลือกตั้ง -> ตรวจจับความผิดปกติในแบบเรียลไทม์
2. สร้างวัฒนธรรมการศึกษาทางการเมือง (Civic Education)
– สอนเรื่องสิทธิ์เลือกตั้งตั้งแต่เด็ก -> ให้เยาวชนเข้าใจว่าคะแนนเสียงของพวกเขามีค่า
– สร้าง Election Information Portal -> แพลตฟอร์มกลางที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับผู้สมัครและนโยบาย
– รณรงค์ให้ประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งสำคัญ -> ต้องทำให้คนรู้ว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผลต่อชีวิตคุณจริงๆ”
3. ออกแบบกระบวนการเลือกตั้งให้ “เป็นมิตร” กับประชาชน
– เพิ่มจุดเลือกตั้งและขยายเวลา -> ลดปัญหาคิวแออัด
– ทำให้วันเลือกตั้งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ -> เพื่อให้ประชาชนมีเวลาไปใช้สิทธิ์
– ลดขั้นตอนยุ่งยากในการลงทะเบียน -> ทำให้สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้
บัตรเสีย : เมื่อคะแนนเสียงของประชาชนหายไปเพราะการออกแบบระบบเลือกตั้ง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลเลือกตั้งถูกบิดเบือนคือ “บัตรเสีย”
อัตราบัตรเสียทั่วโลก
– สหรัฐอเมริกา -> 1-2%
– ฝรั่งเศส -> 1-3%
– อินเดีย -> 2%
– ไทย -> 5.6% (สูงกว่ามาตรฐานสากล)
ลดบัตรเสียได้อย่างไร?
– ออกแบบบัตรเลือกตั้งให้เข้าใจง่าย -> ใช้ดีไซน์ที่ชัดเจน ลดความสับสน
– ให้ความรู้แก่ประชาชน -> จัดทำคู่มือเลือกตั้งที่เข้าใจง่าย
– ใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจสอบ -> เช่น เครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ที่แจ้งเตือนหากบัตรไม่ถูกต้อง
บทสรุป
: อะไรคือการเลือกตั้งที่ดี?
1. อัตราการเลือกตั้งสูง -> ประชาชนต้องเชื่อว่าการเลือกตั้ง “มีความหมาย”
2. อัตราบัตรเสียต่ำ -> ระบบต้องเอื้อต่อการลงคะแนน ไม่ใช่สร้างความสับสน
3. ประชาชนต้องมั่นใจว่าคะแนนเสียงของพวกเขามีผล -> ถ้าคนเชื่อว่า “เลือกไปก็เท่านั้น” อัตราการเลือกตั้งจะลดลงเรื่อยๆ
การเลือกตั้งที่ดี ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ แต่คือกระบวนการที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่า “เสียงของฉันมีค่า และฉันมีส่วนร่วมกับอนาคตของประเทศนี้”
เพราะประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนเชื่อว่าเสียงของพวกเขามีความหมาย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022