5 หลุมพรางของหัวหน้ามือใหม่

กวีวุฒิ เต็มภูวภัทรfacebook.com/eightandahalfsentences

ธุรกิจพอดีคำ | กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร

 

5 หลุมพรางของหัวหน้ามือใหม่

 

คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนที่เก่งที่สุดในทีม พอได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้า

กลับกลายเป็นหัวหน้าที่แย่ที่สุด?

ผมเคยเจอคนแบบนี้มาเยอะ… เขาเป็นพนักงานขายที่เจ๋งที่สุดในทีม ทำยอดขายได้มากที่สุด ทำได้ตามแผนเร็วที่สุด แต่พอได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าทีม กลับทำให้ทีมแตกความสามัคคี ลูกน้องลาออกกันระนาว

จากงานวิจัยของ Gallup ในปี 2022 พบว่า 82% ของการแต่งตั้งผู้จัดการหรือหัวหน้างานใหม่นั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด โดยบริษัทมักเลือกคนผิด หรือไม่ก็เตรียมความพร้อมให้พวกเขาไม่ดีพอ

ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ การตัดสินใจที่ผิดพลาดนี้ ทำให้องค์กรต้องสูญเสียเงินโดยเฉลี่ยถึง 840,000 ดอลลาร์ต่อการแต่งตั้งหนึ่งครั้ง

มาดูกันว่า หลุมพรางอันตรายที่มักจะเจอในช่วงแรกของการเป็นหัวหน้ามีอะไรบ้าง

 

1.หลุมพราง “ฉันเก่งกว่า ฉันทำเองดีกว่า”

คุณแดงเป็นพนักงานขายที่เก่งที่สุดในทีม ยอดขายทะลุเป้าทุกเดือน ลูกค้ารักมาก จนได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย

วันหนึ่ง มีดีลสำคัญกับลูกค้ารายใหญ่ คุณแดงเห็นลูกน้องนำเสนอขายไม่ถูกใจ เลยแทรกเข้าไปพูดเอง จนลูกน้องต้องนั่งเงียบ ดีลนั้นปิดได้สำเร็จ แต่ลูกน้องกลับรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า

นี่คือหลุมพรางที่หัวหน้ามือใหม่มักจะเจอ พวกเขาเคยชินกับการเป็น “ผู้เล่น” ที่เก่งที่สุด พอมาเป็น “โค้ช” กลับทนไม่ได้ที่จะเห็นลูกน้องทำงานช้ากว่า หรือไม่ได้ดั่งใจ

แต่รู้ไหมครับว่า การที่คุณเข้าไป “ช่วย” แบบนี้ มันกลับเป็นการ “ทำร้าย” พวกเขา เพราะพวกเขาจะไม่มีวันพัฒนา ไม่มีวันเรียนรู้จากความผิดพลาด

และที่สำคัญ พวกเขาจะไม่มีวันกล้าคิดนอกกรอบ เพราะกลัวว่าจะไม่เหมือนที่คุณเคยทำ

 

2.หลุมพราง “ต้องทำให้ทุกคนรัก”

ผลสำรวจจาก Harvard Business Review พบว่า 47% ของหัวหน้ามือใหม่ มักจะพยายามเอาใจลูกน้องมากเกินไป จนทำให้เสียการควบคุม และไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องที่ยาก

เหมือนกับกรณีของคุณนิด หัวหน้าฝ่ายการตลาดคนใหม่ ที่มีลูกน้องคนหนึ่งชอบมาทำงานสาย คุณนิดก็ไม่กล้าตักเตือน เพราะกลัวลูกน้องจะไม่รัก จนวันหนึ่ง ลูกน้องคนอื่นๆ เริ่มมาสายบ้าง เพราะเห็นว่าไม่มีใครว่าอะไร

การเป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ได้แปลว่าต้องทำให้ทุกคนรัก แต่ต้องทำให้ทุกคนเคารพ และเชื่อมั่นในความยุติธรรมของคุณ

 

3.หลุมพราง “ไม่กล้าสื่อสารความคาดหวัง”

จากการศึกษาของ MIT Sloan Management Review พบว่า 68% ของปัญหาในที่ทำงาน เกิดจากการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องความคาดหวังในงาน

คุณเอ หัวหน้าฝ่ายบัญชีคนใหม่ มอบหมายให้ลูกน้องทำรายงานการเงิน โดยบอกแค่ว่า “ทำให้ดีๆ นะ”

พอลูกน้องทำมาส่ง กลับบ่นว่าไม่ใช่แบบที่ต้องการ ทั้งที่ไม่เคยบอกเลยว่าต้องการอะไร

หัวหน้ามือใหม่มักจะคิดว่า การไม่พูดความคาดหวังให้ชัดเจน จะทำให้ดูใจดี ไม่กดดันลูกน้อง

แต่ความจริงแล้ว มันกลับทำให้ลูกน้องสับสน เครียด และเสียเวลาทำงานซ้ำไปซ้ำมา

 

4.หลุมพราง “กลัวคนเก่งกว่า”

ผลวิจัยจาก McKinsey พบว่า 40% ของหัวหน้ามือใหม่ มักจะรู้สึกไม่มั่นคงในตำแหน่ง และพยายามปกป้องตัวเองด้วยการกีดกันคนเก่ง หรือไม่ก็พยายามแสดงอำนาจเหนือคนที่เก่งกว่า

เหมือนกรณีของคุณบี ที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าฝ่ายไอที พอมีพนักงานใหม่เข้ามาที่เก่งเรื่อง AI มากกว่า แทนที่จะดีใจที่ได้คนมีความสามารถ กลับพยายามกดดันและมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความสามารถ เพราะกลัวว่าตัวเองจะดูด้อยค่า

หัวหน้าที่ดีต้องรู้จักใช้จุดแข็งของลูกน้องให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่มองว่าเป็นภัยคุกคาม เพราะความสำเร็จของทีม คือความสำเร็จของหัวหน้าเช่นกัน

 

5.หลุมพราง “คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง”

การศึกษาจาก Stanford University พบว่า 73% ของหัวหน้ามือใหม่ มักจะมี “อคติแห่งความมั่นใจเกิน” (Overconfidence Bias) คิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง และไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติม

คุณซี เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตคนใหม่ เมื่อลูกน้องเสนอไอเดียใหม่ๆ ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต กลับตอบกลับไปว่า “ที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปลี่ยน” ทั้งที่ไม่เคยลองฟังเหตุผลของลูกน้องเลย

การเป็นหัวหน้า ไม่ได้แปลว่าต้องรู้ทุกอย่าง แต่ต้องรู้จักฟัง รู้จักเรียนรู้ และรู้จักยอมรับว่าบางทีลูกน้องอาจจะมีไอเดียที่ดีกว่าเราก็ได้

 

แล้วคำตอบของคำถามแรกล่ะ? ทำไมคนที่เก่งที่สุดในทีม พอได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้า ถึงกลายเป็นหัวหน้าที่แย่ที่สุด?

คำตอบก็คือ… เพราะเขายังติดอยู่ในกับดักของ “ความเก่ง” แบบเดิมๆ

การเป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ได้วัดกันที่ว่าคุณเก่งแค่ไหน แต่วัดที่ว่าคุณทำให้ทีมเก่งขึ้นได้แค่ไหนต่างหาก

เหมือนกับที่ผมชอบบอกกับหัวหน้ามือใหม่เสมอว่า…

“ถ้าอยากเป็นหัวหน้าที่ยิ่งใหญ่ อย่าพยายามเป็นคนที่เก่งที่สุด แต่จงเป็นคนที่ทำให้คนอื่นเก่งที่สุด”

(แต่ถ้าคุณยังอดไม่ได้ที่จะอวดความเก่งล่ะก็… อย่างน้อยก็รอให้ลูกน้องลองผิดลองถูกสักพักก่อน ค่อยเข้าไปช่วย… เอ้า!)

เพราะสุดท้ายแล้ว การเป็นหัวหน้าที่ดี ก็เหมือนกับการเป็นพ่อแม่ที่ดี ที่ต้องรู้จักปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้จากความผิดพลาด แม้ว่าบางทีมันจะเจ็บปวดที่ต้องยืนดูอยู่ห่างๆ ก็ตาม

และถ้าคุณทำได้… วันหนึ่งคุณจะภูมิใจ ที่เห็นลูกน้องของคุณ เติบโตจนเก่งกว่าที่คุณเคยเป็น

นั่นแหละครับ คือความสำเร็จที่แท้จริงของการเป็นหัวหน้า