ศิลปินผู้สำรวจความซับซ้อน ของสังคมและจิตใจมนุษย์ ผ่านงานศิลปะ

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ศิลปินผู้สำรวจความซับซ้อน

ของสังคมและจิตใจมนุษย์

ผ่านงานศิลปะ

 

ในตอนนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวของศิลปินระดับโลกอีกคนที่เดินทางมาร่วมแสดงงานในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ศิลปินผู้นี้มีชื่อว่า อเดล อับเดสเซเหม็ด (Adel Abdessemed) ศิลปินร่วมสมัยชาวแอลจีเรีย-ฝรั่งเศส ผู้ทำงานในหลากสื่ออย่าง ประติมากรรม, ศิลปะจัดวาง, ภาพวาดลายเส้น, วิดีโอ และแอนิเมชั่น ผลงานของเขามักสำรวจประเด็นเกี่ยวกับความรุนแรง ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ประสบการณ์ของมนุษย์ และมักจะท้าทายให้ผู้ชมเผชิญหน้ากับความจริงอันไม่น่าอภิรมย์ในโลกใบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความงดงามละเอียดอ่อนราวกับบทกวี

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผลงานของอับเดสเซเหม็ดผลักดันขอบเขตทางการรับรู้ และกระตุ้นให้เกิดการสนทนา ถกเถียง จนทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างมากในโลกศิลปะร่วมสมัย

ผลงานของเขา ไม่ว่าจะในขนาดมหึมาหรือเล็กจิ๋ว มักมีคุณสมบัติอันรุนแรงในการกระตุกความรู้สึกผู้ชม และสำรวจความซับซ้อนของสังคมและจิตใจมนุษย์อย่างถึงแก่น อีกทั้งยังเชื้อเชิญให้ผู้ชมตั้งคำถามที่สะท้อนถึงมุมมองและการรับรู้ของตัวเอง

ด้วยผลงานอันห้าวหาญที่ผลักดันขอบเขตทางศิลปะอย่างต่อเนื่อง และกระตุ้นทั้งอารมณ์และความคิดของผู้ชมไปพร้อมๆ กัน

Politics of the Studio, Nelson (2020), ภาพจาก BACC
Politics of the Studio, Nelson (2020), ภาพจาก BACC
Politics of the Studio, Nelson (2020), ภาพจาก BACC
Politics of the Studio, Nelson (2020), ภาพจาก BACC

อับเดสเซเหม็ดเกิดในปี 1971 ที่ประเทศแอลจีเรีย จนกระทั่งสงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในปี 1992 ทำให้เขาลี้ภัยจากแอลจีเรียไปยังประเทศฝรั่งเศส และเข้าศึกษาทางด้านศิลปะในสถาบันวิจิตรศิลป์ École nationale supérieure des Beaux-Arts de Lyon ในเมืองลียง หลังจากนั้นเขาย้ายไปยังนิวยอร์ก, เบอร์ลิน และลอนดอน ปัจจุบันเขาอาศัยและทํางานอยู่ในปารีส

ผลงานที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักของเขาก็มีอย่าง Cri (2012) ประติมากรรมขนาดเท่าจริงที่ดัดแปลงมาจากภาพถ่ายของเด็กหญิงวัย 9 ขวบ พัน ทิ คิม ปุก (Phan Thị Kim Phúc) หรือ เด็กหญิงนาปาล์ม (Napalm Girl) ผู้วิ่งหนีจากการโจมตีด้วยระเบิดนาปาล์มในช่วงสงครามเวียดนามในปี 1972 ภาพถ่ายที่ว่า แสดงภาพของเธอกำลังวิ่งหนีจากการทิ้งระเบิดและเปลวเพลิงจากระเบิดนาปาล์มของอเมริกา ด้วยอากัปกิริยากางแขนกรีดร้องด้วยความทรมาน เสื้อผ้าของเธอถูกเผามอดไหม้จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า

ภาพนี้ถูกถ่ายโดย นิก อึ๊ต (Nick Ut) ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ความโหดร้ายและสยองขวัญของสงครามที่สุดในศตวรรษที่ 20

Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han

ผลงานประติมากรรม Cri (ภาษาฝรั่งเศสแปลว่า “ร้องไห้”) ชิ้นนี้ของอับเดสเซเหม็ด จำลองภาพถ่ายอันน่าสยดสยองภาพนี้ขึ้นมาใหม่ในลักษณะสามมิติจนดูคล้ายกับรูปสลักของพระเยซูคริสต์ที่กำลังถูกทรมานโดยไม่มีไม้กางเขน

ตัวประติมากรรมทำจากงาช้างทั้งหมด แต่ด้วยความที่งาช้างเป็นวัสดุที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย และเป็นการสนับสนุนการลักลอบล่าสัตว์ป่า อับเดสเซเหม็ดจึงเลือกทำประติมากรรมแกะสลักชิ้นนี้ด้วยการใช้วัสดุจากงาช้างแมมมอธ ที่เขาซื้อและสะสมเอาไว้ ซึ่งไม่เสี่ยงต่อการผิดกฎหมายและศีลธรรม เพราะแมมมอธเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เคียงข้างกับประติมากรรมยังมีภาพวาดลายเส้นของทหารในชุดเต็มยศอาวุธครบมือจัดแสดงอยู่ด้วย

ผลงานชิ้นนี้ของอับเดสเซเหม็ดเป็นเสมือนหนึ่งสัญลักษณ์แทนเสียงร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานของเหยื่อและผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามและความรุนแรง ไม่เพียงแค่สงครามเวียดนาม หากแต่เป็นทุกสงครามที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้

Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han

หรือผลงาน Headbutt (2012) ที่จำลองเหตุการณ์ที่นักฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส ซีเนดีน ซีดาน (Zinedine Zidane) ใช้ศีรษะกระแทกนักฟุตบอลทีมชาติอิตาลี มาร์โก มาแตรัซซี่ (Marco Materazzi) ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2006 จนทำให้ซีดานได้รับใบแดง ถูกไล่ออกจากสนาม และทีมชาติฝรั่งเศสแพ้การแข่งขันในที่สุด ที่น่าเศร้าก็คือ การแข่งขันครั้งนั้นเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของซีดานด้วย

ผลงานชิ้นนี้เป็นตัวอย่างของการหยิบฉวยเอาเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปรากฏในวัฒนธรรมร่วมสมัย สื่อกระแสหลัก หรือแม้แต่มหกรรมกีฬาระดับโลก มาแช่แข็งให้หยุดนิ่งเอาไว้อย่างยืนยงคงกระพันราวกับเป็นอนุสาวรีย์แห่งความอัปยศก็ไม่ปาน

Headbutt ถูกนิยามว่าเป็นผลงานที่อยู่ตรงข้ามกับประเพณีในการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะ เพราะมันคือบทกวีสรรเสริญความพ่ายแพ้เสียมากกว่า

ผลงานชิ้นนี้ของอับเดสเซเหม็ด ได้แรงบันดาลใจมาจากประติมากรรมแกะสลักหินอ่อนของ อันโตนิโอ คาโนวา (antonio canova) ประติมากรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคนีโอคลาสสิค (Neo-Classic) ผลงานของเขามักจะเป็นการแสดงอากัปกิริยาระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ พลอดรัก เคล้าเคลีย หรือประคับประคองกัน

อับเดสเซเหม็ดเป็นศิลปินที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอารมณ์ขันอันเจ็บแสบและความตลกร้ายเสียดสีในผลงานของเขา ถึงขนาดที่ว่า ในขณะที่กำลังเรียนศิลปะอยู่ในแอลจีเรีย อาจารย์คนหนึ่งของเขาถึงกับออกปากว่า อารมณ์ขันในงานของอับเดสเซเหม็ดเป็นเหมือน “เสียงหัวเราะของปีศาจ” เลยทีเดียว

ในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งนี้ อเดล อับเดสเซเหม็ด นำเสนอผลงานสองชิ้น ในสองสถานที่แสดงงาน เริ่มจากผลงาน Politics of the Studio, Nelson (2020) ที่จัดแสดงในหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bacc) วิดีโอจัดวางที่นำเสนอภาพเคลื่อนไหวของวัวขาวขนาดใหญ่เบ้อเร่อเท่อ กำลังเดินดุ่มๆ ในสตูดิโอของศิลปิน ดวงตาของมันดูสับสน งุนงง ตื่นตัว ขณะกำลังพยายามเดินมองหาตำแหน่งปลอดภัยในพื้นที่ที่มันไม่คุ้นเคย

ผลงานอันแปลกพิลึกพิลั่นปนอุตริชิ้นนี้ของอับเดสเซเหม็ด ทำให้เรานึกไปถึงผลงานของศิลปินในกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะ อาร์เต้ โพเวร่า (Arte Povera) อย่าง ยานนิส คูเนลลิส (Jannis Kounellis) เจ้าของผลงาน Untitled (12 Horses) (1969) ที่เปลี่ยนพื้นที่แสดงงานศิลปะให้กลายเป็นคอกปศุสัตว์ ด้วยการผูกม้าจำนวน 12 ตัวไว้กับผนังหอศิลป์

ผลงานชิ้นนี้เป็นที่กล่าวขานและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้อฉาว และกลายเป็นตำนานในโลกศิลปะ ด้วยแนวคิดที่ว่า งานศิลปะอาจจะเป็นอะไรก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าในเชิงพาณิชย์เลยด้วยซ้ำ

ผลงานนี้ของเขาถูกยกให้เป็นจุดกำเนิดของศิลปะ อาร์เต้ โพเวร่า เลยก็ว่าได้ ที่น่าสนใจก็คือ แม้แต่ตัวคูเนลลิสเอง ก็กล่าวถึงอับเดสเซเหม็ดในบทความประกอบเทศกาลศิลปะ Biennial of Young Artists from Europe and the Mediterranean ในกรุงโรม ที่อับเดสเซเหม็ดเข้าร่วมแสดงว่า

“อเดล อับเดสเซเหม็ด บอกเล่าให้เรารับรู้ด้วยตาอย่างตรงไปตรงมาและไม่หวั่นเกรง ถึงความรุนแรงอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่ปรากฏในแนวโน้มของการกำหนดมาตรฐานของยุคปัจจุบัน”

Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han

และผลงานที่เป็นไฮไลต์ของอับเดสเซเหม็ดคือ Telle mère telfils (2008) (Like mother like son) ที่จัดแสดงในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ประติมากรรมขนาดมหึมาที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนหัวและหางของเครื่องบินจริงๆ สามลำ หัวและหางเครื่องบินแต่ละลำถูกเชื่อมต่อกันด้วยผ้าขนสัตว์ที่ถูกเย็บเป็นทรงกระบอกยาวเหยียด จนเหมือนลำตัวงูยักษ์กำลังเลื้อยพันกันไปมา ราวกับจะเปลี่ยนให้เครื่องจักรกลจากน้ำมือมนุษย์หวนกลับไปสู่ธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง

การม้วนผืนผ้าเป็นทรงกระบอกในงานชิ้นนี้ อับเดสเซเหม็ดได้แรงบันดาลใจมาจากเทคนิคการทำแผ่นแป้งห่อขนมอบของแม่ของเขา การเชื่อมร้อยการทำอาหารของแม่ของอับเดสเซเหม็ดในผลงานชิ้นนี้ (หรือแม้แต่ผลงาน Bourek (2005) ประติมากรรมจากซากหัวเครื่องบินที่ถูกบีบอัดให้แบนแต๊ดแต๋จนดูคล้ายกับ โบ-เรค ขนมพายของตรุกีเหมือนชื่องาน) ดึงให้เราสัมผัสถึงความอบอุ่นและสายใยระหว่างลูกชายกับแม่

ซึ่งย้อนแย้งกับรูปลักษณ์ของหัวเครื่องบินที่ดูคล้ายกับลึงค์ สัญลักษณ์ของความเป็นพ่อและเพศชายอยู่ไม่หยอก

Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han

และด้วยการเปลี่ยนสำนวนที่ใช้กันทั่วไปอย่าง “Like father like son” (ลูกชายหล่นไม่ไกลพ่อ) ให้กลายเป็น “Like mother like son” (ลูกชายหล่นใกล้ๆ แม่) อับเดสเซเหม็ดแปรเปลี่ยนเศษโลหะจักรกลที่เคยเป็นสัญลักษณ์แห่งระบบชายเป็นใหญ่ หรือ ปิตาธิปไตย (Patriarchy) ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแม่ หรือเพศหญิง ซึ่งบังเอิญพ้องกับสัญลักษณ์ที่ปรากฏภายใต้แนวคิดหลักของงานเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ในปีนี้อย่างเรื่องราวของพระแม่แห่งธรณี (Gaia) ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ธีมงานนี้อย่าง Nurture Gaia นั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยผลงานชิ้นนี้ อับเดสเซเหม็ดยังสร้างความหมายในเชิงกามารมณ์อย่างกำกวม ระหว่างเครื่องบินที่รูปทรงยาวเหยียดเหมือนงู อันเป็นตัวแทนขององคชาต เข้ากับความเป็นแม่ ที่ล้อไปกับปมลูกชายติดแม่ หรือ ปมอีดิปุส (Oedipus complex) ในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งจิตวิเคราะห์

Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han
Telle mère telfils (2008) ภาพจาก Bangkok Art Biennale ถ่ายภาพโดย Seni Chunhacha และ Jukkrit.Han

ในทางกลับกัน แนวคิดนี้ก็บังเอิญล้อไปกับบริบทการเมืองไทยในปัจจุบัน ที่เป็นการสืบทอดอำนาจในตระกูลแบบ “Like father like daughter” (ลูกสาวหล่นไม่ไกลพ่อ) ได้อย่างเปี่ยมอารมณ์ขันแสบสันเช่นเดียวกัน

ผลงานของ อเดล อับเดสเซเหม็ด จัดแสดงในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567-25 กุมภาพันธ์ 2568 ผลงาน Politics of the Studio, Nelson (2020) จัดแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (Bacc) เปิดทำการ วันอังคาร-อาทิตย์ 10:00-20:00 น, ผลงาน Telle mère telfils (2008) จัดแสดงที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น B2 เปิดทำการ วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 11:00-19:00 น ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bkkartbiennale.com/

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก BAB2024, BACC •

 

อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์