กาละแมร์ พัชรศรี : ดวงตาเห็นธรรม

เวลาคุณตั้งจิตอธิษฐาน คุณขอพรอะไรกันบ้างคะ

ข้อหนึ่งในนั้น ฉันขอให้ตัวเองมีสติ ปัญญาทน และดวงตาเห็นธรรม

ฉันรู้เสมอมาว่า พระพุทธศานาคือทางรอดของทุกสิ่งในชีวิต เพียงแต่ในเวลานั้นเราจะน้อมนำตัวเองเข้าไปใกล้ หรือถ้าเมื่อเข้าใกล้แล้วเราจะเข้าใจหรือเปล่า ไม่ใช่แค่สัมผัสเปลือกนอก แต่ให้รู้ถึงแก่นแท้ของหลักใหญ่ใจความ เพราะนั่นคือหนทางแห่งการดับทุกข์นั่นเอง

ฉันจึงขอให้ฉันมีปัญญา เมื่อได้ยิน ได้อ่าน ได้ฟัง ได้พบครูบาอาจารย์ครั้งใด ขอให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้ง

ถ้าพูดสั้นไปคือ “เก๊ต” ได้ในทันที

ไม่ใช่ฟังแบบหูซ้ายทะลุขวา แล้วมันก็ผ่านไปไม่เกิดอะไรขึ้นมา

 

ฉันก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า วันหนึ่งตัวเองจะเดินมาถึงจุดนี้ จุดที่เราสนใจและเพียรในการปฏิบัติแม้จะมีบ้างที่ขี้เกียจ เหนื่อย ล้า ง่วง ไม่อยากตื่น

แต่ฉันก็ต้องขัดใจตัวเองขึ้นไปให้ได้ ต้องเอาชนะมันให้ได้

พอเราเริ่มที่จะภาวนา เราก็จะเห็นถึงการเกิด การดับทุกๆ วินาที รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง แต่พอเริ่มทำก็ทำให้เราได้รู้ความจริงของชีวิตว่า “สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นนั้นดับเสมอ”

ไม่มีอะไรที่อยู่ยั้งยืนยงได้เลย ไม่ใช่แค่วัตถุสิ่งของ แต่มันเรื่องของความคิด อารมณ์ จิตใจ เมื่อเรารู้ความจริงของเรื่องนี้ ชีวิตเบาขึ้นมากเมื่อต้องยึดติด

อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าเรามีสิ่งของที่ซื้อมา เรารักมาก อย่างบ้าน รถ กระเป๋า โทรศัพท์ นาฬิกา วันหนึ่งมันก็ถึงวันเสื่อมสลาย หายสูญได้ ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราไปตลอด

แม้มันจะอยู่ แต่วันหนึ่งเราก็ต้องไป เราเอามันไปไม่ได้อยู่ดี จะเผาเอาไปด้วย มันก็ไหม้ไฟไปแค่นั้น แต่ไม่ได้จะติดตามเราไปด้วย

หรือเวลาเราเกิดความคิด ความรู้สึกตามอารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ เศร้า หดหู่ โกรธ ผิดหวัง และเมื่อเรารู้ว่าเดี๋ยวมันก็ต้องหายไป เพราะเราก็ไม่เคยเสียใจ โกรธ เศร้า นอยด์อยู่ตลอดไป วันหนึ่งเราก็หาย

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว พอมันมีสติขึ้นมา “อ้าวเฮ้ย” งั้นก็หายได้เลยนี่นา เพราะอย่างไรมันก็ต้องหายอยู่ดี เสียเวลา เสียสติไปเปล่าๆ

และเมื่อเราใช้ปัญญาไปประกบว่าที่เราเศร้า โกรธ เสียใจมันมาจากอะไร มันมาจากสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งนั้น ชื่อเสียง เงินทอง ตำแหน่ง คนรัก ของรัก งั้นถ้าเรามัวแต่ไปยึดไว้เราก็ทุกข์เปล่าๆ มันมีอะไรอยู่กับเรานาน แม้แต่ความสุขก็รู้ว่ามันสุขนะ แต่วันหนึ่งจะไม่สุขก็เข้าใจได้ ไม่ใช่พอวันใดเจอความทุกข์ เราจะชักแด่กๆ ตายให้ได้ เพราะอยากได้ความสุขแบบเดิมๆ อีก

ของแบบนี้ไม่ได้ทำกันในวันนี้พรุ่งนี้ ฝึกไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ความยึดมั่นในวัตถุ คน ความรู้สึกจะหายไปเอง

 

วันหนึ่งฉันไปนั่งฟังธรรมจากพระอาจารย์ตั๋น เจ้าอาวาสวัดบุญญาวาส จ.ชลบุรี เมื่อพระอาจารย์พูดถึงเรื่อง กายไม่ใช่ของเรา จิตไม่ใช่ของเรา ขึ้นมา เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ใช่ว่าฉันจะไม่เคยได้ยินประโยคเหล่านี้ เพียงแต่ฉันไม่เข้าใจ ว่ามันจะไม่ใช่ได้อย่างไร ก็ชั้นเนี่ยเศร้าอยู่ ร้องไห้อยู่ ก็เนี่ยกรูล้วนๆ กรูเศร้า บอบช้ำทั้งกายใจอยู่เนี่ยไง จะมาบอกว่ากายใจไม่ใช่ของเราได้ไง ก็กรูรู้สึกอยู่เนี่ย แต่ก็ไม่ได้เถียงคนพูดไปหรอกนะ เพราะเขาก็พยายามปลอบเรา เพียงแต่ตอนนี้ปัญญาเรายังไม่เข้าใจ

พอมาวันนี้ พระอาจารย์บอกว่า กายไม่ใช่ของเรา จิตก็ไม่ใช่ของเรา แต่เราต้องฝึกฝนมัน ต้องหมั่นเพียรทำสมาธิเพื่อให้มีสติ ปัญญา ให้จิตมีกำลัง เพื่อไม่ให้อารมณ์มาอยู่เหนือจิตได้ เมื่อเกิดอารมณ์ใดขึ้นมา เราจะได้รู้เท่าทัน ไม่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือจิต แล้วเราก็คิดเอาว่า อารมณ์นี้แหละมันเป็นเราล้วนๆ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่!

ขยายความต่อว่า เมื่อก่อนเราคิดว่านี่คือร่างกายเรา ถ้ามันใช่ร่างกายเราจริง เราบอกมันได้ไหมว่าเฮ้ย อย่าเจ็บนะ อย่าป่วยนะ อย่าเป็นโรคนั้นนี้นะ อย่าเมื่อยนะเวลานั่งสมาธิ อย่าปวดนะเวลาออกกำลังกาย เราบังคับมันไม่ได้เลย ดังนั้น กายจึงไม่ใช่ของเรา แค่เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟมารวมกัน เพราะสุดท้ายตายไปร่างเราก็คืนกลับสู่ธรรมชาติ กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ดี

จิตเราก็เหมือนกัน เคยบังคับมันได้ไหม ยิ่งเวลานั่งสมาธิ โอ้ยคิดนั่นคิดนี่ ฟุ้งซ่านสุดๆ ถ้ามันเป็นของเรา เราต้องบังคับมันได้แล้วสิ เฮ้ย อย่าคิดๆๆๆ เฮ้ย อย่าเศร้าๆๆ อย่าโมโหๆๆๆ แสดงว่าจิตมันก็ไม่ใช่ของเราอีก

ดังนั้น เมื่อไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย เราจะไปทุกข์ทำไม เราปล่อยวางได้เลย เราสมมติ เราให้ค่ากับมันเองทั้งนั้น

 

เพชร ทำไมถึงมีราคาทั้งที่มันเป็นก้อนหิน ที่พอเอามาเจียระไนก็มีราคาขึ้นมาทันที เราไปให้ค่าตีราคาให้มันเอง ถ้าสมมติว่าทั้งโลกถนนปูด้วยเพชรทั้งหมด แล้ววันหนึ่งเราเจอก้อนหินก้อนขรุขระขึ้นมา 1 ก้อน ก้อนหินก้อนนั้นจะกลายเป็นของมีค่าราคาสูงขึ้นมาทันที เพชรก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะเจอได้ทั่วไปบนท้องถนน

หรือเวลาเราได้ยินข่าวดาราเลิกกัน เราเศร้าไปกับเขาด้วยไหม ก็อ่านข่าว เออๆ ออๆ เมนต์ๆ เม้าธ์ๆ จบ ก็เรื่องของเขา แต่พอถ้าเป็นเรื่องของเรา เราแมร่งจะเป็นจะตาย เพราะเราเอามายึดว่า “มันเป็นของเรา”

พอคราวนี้เรารู้แล้วว่า กาย ใจ มันไม่ใช่ของเรา เราจะปล่อยวางทุกอย่างรอบตัวง่ายขึ้นมาก จะโกรธ จะเศร้า จะเหงาหงอย จะนอยด์ ถ้าเรามีสติรู้ทัน ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ครอบงำ เราจะคิดได้ว่า แมร่งไม่จริง ไม่ต้องไปให้ค่า ไม่ต้องใส่ไฟโหม ไม่ตีโป่งยีฟู คิดให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะจบตรงนั้นเลย

พอเรารู้เรื่องนี้แล้ว มันง่ายมาก เพียงแต่ความยากคือ เราจะรู้ทันมันไหมนั้นเอง สติมา ปัญญาเกิด คำนี้มันจริง เราจึงต้องฝึกให้มีสติด้วยการทำสมาธิอยู่เสมอ เราจะได้ไม่ไหลไปยาว กว่าจะมารู้ตัวอีกที กระโดดถีบเขา หรือเมาอยู่ข้างทางน้ำตาท่วมไปแล้ว

มาฝึกไปด้วยกันค่ะ มันจะให้ชีวิตเราง่าย สบาย สงบและมีสติเสมอค่ะ