‘ภาษี’ อาวุธใหม่ในมือ ‘ทรัมป์’ ที่โลกกลัว

President Donald Trump speaks to reporters as he signs executive orders in the Oval Office of the White House, Friday, Jan. 31, 2025, in Washington. (AP Photo/Evan Vucci)

บทความต่างประเทศ

 

‘ภาษี’ อาวุธใหม่ในมือ ‘ทรัมป์’

ที่โลกกลัว

 

ทันทีที่ได้ยินข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งมากถึง 25% และสินค้าจากจีน 10%

รวมถึงขู่ว่าจะขึ้นภาษีประเทศเดนมาร์กจากการที่ทรัมป์อยากได้เกาะกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ เช่นเดียวกับประเทศปานามาที่ทรัมป์ขู่ว่าจะยึดคืนคลองปานามาโดยอ้างถึงอิทธิพลของจีน อาจมองว่าทรัมป์จ้องที่จะเปิดสงครามการค้ารอบใหม่เพื่อคืนกำไรให้กับสหรัฐจากการขาดดุลการค้ากับประเทศนั้นๆ

แต่แท้จริงแล้วดูเหมือนว่าทรัมป์ใช้ภาษีมาขู่ประเทศต่างๆ เพื่อให้ทำตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงของสหรัฐ และดูเหมือนว่าวิธีนี้กำลังได้ผลอีกด้วย

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทรัมป์ได้มีคำสั่งให้ขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกมากถึง 25% และขึ้นภาษี 10% แก่น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้าของแคนาดา แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามาอย่างยาวนานก็ตาม

ทรัมป์อ้างว่ายาเสพติดเฟนทานิลและผู้อพยพผิดกฎหมายต่างไหลเข้ามาในสหรัฐจากพรมแดนแคนาดาและเม็กซิโก ทำให้ทั้งแคนาดาออกมาตอบโต้กลับด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 25% เช่นเดียวกับเม็กซิโกที่ขู่ว่าจะใช้ภาษีตอบโต้กลับสหรัฐเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม สหรัฐได้ระงับการขึ้นภาษีแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 30 วันหลังทั้งสองประเทศยอมเพิ่มการควบคุมชายแดนที่ติดกับสหรัฐให้มากขึ้น

โดยเม็กซิโกยอมส่งเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (national guard) จำนวน 10,000 นายไปยังพรมแดนติดกับสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเสพติด

ด้านแคนาดาเองก็ยอมที่จะกระชับความมั่นคงชายแดนติดกับสหรัฐโดยใช้เทคโนโลยีใหม่และส่งเจ้าหน้าที่ไปยังชายแดน รวมถึงเริ่มความพยายามร่วมกับสหรัฐในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม เฟนทานิล และการฟอกเงิน

แต่ดูเหมือนว่าการขึ้นภาษีสินค้าจีน 10% จากปัญหายาเสพติดเฟนทานิลนั้นจะไม่จบลงง่ายๆ เหมือนกรณีของแคนาดาและเม็กซิโก เมื่อจีนประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 10-15% โดยจะเริ่มมีผลในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ และจีนจะยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ถึงการขึ้นภาษีของสหรัฐ

 

เมื่อมาถึงตอนนี้หลายคนคงพอมองออกอย่างชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่ทรัมป์พยายามทำคือนำภาษีมาขู่ให้ประเทศนั้นๆ เข้ามาสู่โต๊ะเจรจาหรือยอมทำตามคำเรียกร้องของสหรัฐมากขึ้น ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าการที่ทรัมป์ใช้ไม้แข็งแบบนี้ได้ผลเพราะสหรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ซึ่งทรัมป์ได้ส่งสัญญาณออกมาแล้วว่าสหภาพยุโรป (อียู) คือรายต่อไปที่สหรัฐจะขึ้นภาษี

นายกอร์ดอน ซอนด์แลนด์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหภาพยุโรป เตือนอียูและอังกฤษว่าสหรัฐจะใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองในช่วงสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์

ซอนด์แลนด์กล่าวว่า “เรามีรายการของสิ่งที่เราเรียกร้องและร้องขอจากพันธมิตรของเรามาตลอดหลายปีหรืออาจหลายสิบปี แต่พวกเขาจะให้คำตอบมาเหมือนเดิมคือ เราจะไปคิดดูก่อน เดี๋ยวเขาก็ติดต่อกลับมาเอง ซึ่งทรัมป์ไม่ทนกับเรื่องแบบนี้ ดังนั้น ภาษีเหล่านี้คือคำขู่ที่คิดมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ”

ซอนด์แลนด์กล่าวอีกว่า ภาษีของสหรัฐจะมีผลต่อไปจนประเทศเหล่านั้นเริ่มประสบปัญหาเศรษฐกิจและบีบให้อีกฝ่ายยอมเจรจาและเริ่มแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อกังวลของสหรัฐ

ทรัมป์ก็ได้กล่าวเช่นกันว่าภาษีมีอำนาจมากทั้งในด้านเศรษฐกิจและการทำให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่เราต้องการ ไม่มีใครสู้กับสหรัฐได้ในเรื่องภาษีเพราะเราเป็นบ่อเงินบ่อทอง ถ้าเราไม่เอาชนะอย่างต่อเนื่อง เราก็จะไม่เป็นบ่อเงินบ่อทองอีกต่อไป

จากนี้เราคงต้องจับตากันต่อไปว่าสหรัฐจะใช้มาตรการกำแพงภาษีกับไทยหรือไม่ และเมื่อใด เพราะดูแล้วทรัมป์ไม่ลังเลที่จะตั้งกำแพงภาษีกับประเทศใดในโลกแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรอย่างแคนาดาหรือคู่แข่งตัวฉกาจอย่างจีน