ขอแสดงความนับถือ

เลือกตั้งนายก อบจ.เสร็จเป็นที่เรียบร้อย

แต่การตะลุมบอนทางการเมืองยังไม่จบ แม้ระดับแกนนำจะพยายามออกมาห้ามทัพ แต่ระดับแนวร่วมยังไม่หยุดฟาดฟันกัน

กองทัพแดงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะระดับผู้นำจิตวิญญาณ นายทักษิณ ชินวัตร ลงมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงเองในหลายจังหวัด ขึ้นปราศรัยหลายเวที เลือกส่งในจังหวัดที่ล็อกเป้าน่าจะได้เก้าอี้

ผลที่ออกมาก็คือ ชนะครึ่ง-แพ้ครึ่ง

ที่ชนะอย่างแท้จริงเห็นจะเป็น กองทัพสีน้ำเงิน มาเงียบๆ กวาดเรียบเลยทีเดียว

ฟากพรรคส้ม ต้องเรียกว่าแพ้ยับเยิน ส่งเลือกตั้ง 17 จังหวัด ได้มาเพียง 1 จังหวัด

แม้จะล้มสถิติ “ไม่เคยได้ชนะศึกเลือกตั้งท้องถิ่นระดับจังหวัดเลยตั้งแต่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่” ได้สำเร็จ

แต่จำนวนแค่ 1 จังหวัด จากปีก่อนที่เพิ่งกวาดเก้าอี้ ส.ส.มากที่สุดในประเทศ ปัจจุบันก็ยังมี ส.ส.นั่งกันอยู่เต็มสภา (แม้จะเป็นฝ่ายค้าน)

มันส่งผลต่อความรู้สึกมากเหมือนกันว่าเพราะอะไร

การเมืองเชิงกระแสอย่างเดียว เพียงพอหรือ? หรือต้องทำการบ้านอย่างอื่นเพิ่ม?

เป็นเรื่องที่ต้องคิด

แต่ในวิกฤต ก็ยังมีโอกาส

ชัยชนะที่ลำพูน จะเป็นบทพิสูจน์ ว่าพรรคส้มจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนในการบริหารงบประมาณ มีระยะเวลา 2 ปีจากนี้จนกว่าจะถึงเลือกตั้งใหญ่

ถ้าทำสำเร็จจะเป็นอย่างไร? ภูมิศาสตร์การเมืองไทยจะน่าสนใจแค่ไหน

พลิกอ่าน “ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ” โดย “หนุ่มเมืองจันท์” สัปดาห์นี้ โดยพลัน!

 

ไปกันที่ระดับโลก ภูมิรัฐศาสตร์สากลเพลานี้ ช่างไม่เข้ากับบรรยากาศต้นเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก เสียจริง…

เพราะพร้อมๆ ที่การเมืองไทยกำลังเข้มข้น ดุเดือด การเมืองโลกยิ่งดุเดือดกว่า…

สัปดาห์นี้สงครามการค้ายุคที่ 2 เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ ฝีมือ โดนัลด์ ทรัมป์ ยุค 2.0 นั่นเอง

เริ่มตั้งแต่การเปิดฉากตีกับโคลอมเบีย เรื่องผู้ลี้ภัย ใช้เรื่องกำแพงภาษีการค้าระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือ จนสุดท้ายโคลอมเบียต้องยอมถอย

ถัดมาก็เปิดฉากประกาศขึ้นภาษีเม็กซิโก แคนาดา โดยอ้างปัญหาเรื่องยาเสพติด ผู้อพยพ และความมั่นคง

สุดท้ายทั้งสองประเทศต้องขยับตามทรัมป์ ยอมเพิ่มงบประมาณและเจ้าหน้าที่ดูแลชายแดน ทรัมป์ได้โอกาส โชว์ความใจดี ยอมขยับกำแพงภาษีให้อีก 1 เดือน ค่อยมาประเมินใหม่

แต่ที่เดินหน้าทำสงครามกันจริงๆ คือกับจีน ซึ่งจีนเขาเตรียมพร้อมตั้งรับมานานแล้ว จึงประกาศตั้งกำแพงภาษีสู้สหรัฐ

เมื่อช้างสารมาชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ

ทันทีที่ทรัมป์ประกาศสงครามการค้ารอบใหม่ เล่นเอาตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วนไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย

ต้องไม่ลืมว่าทรัมป์เพิ่งดำรงตำแหน่งได้ 2 อาทิตย์เอง ยังทำป่วนได้ขนาดนี้

หากอยู่จนครบวาระ ภูมิรัฐศาสตร์โลกเราจะเป็นยังไง?

จึงเลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆ ที่จะต้องกลับไปที่การรู้จักที่มาที่ไปของทรัมป์

ดูว่าเขาเติบโต สร้างธุรกิจ เคยสำเร็จ ล้มเหลวในชีวิตมาอย่างไรบ้าง?

ต้องพลิกอ่าน “ยุทธบทความ” ของสุรชาติ บำรุงสุข ซึ่งเขียนซีรีส์บทความเกี่ยวกับชีวิตของทรัมป์ถึงตอนที่ 3 แล้ว

จะช่วยให้เข้าใจอดีตของทรัมป์ เป็นพื้นฐานนำไปสู่การมองเห็นปัจจุบัน เข้าใจการดำเนินนโยบายของผู้นำสหรัฐคนนี้ได้ดียิ่งขึ้น (ใครยังไม่อ่าน 2 ตอนแรก ไปค้นหาอ่านได้ในเว็บไซต์มติชนสุดสัปดาห์ออนไลน์)

 

 

จากนั้นก็พลิกไปที่คอลัมน์ “กาแฟดำ” ของสุทธิชัย หยุ่น

สัปดาห์นี้ “กาแฟดำ” ตั้งคำถามอย่างน่าสนใจว่า ทำไมทรัมป์ถึงชื่นชมผู้นำอำนาจนิยมระดับโลก 3 คน ประกอบด้วย ปูตินของรัสเซีย, สี จิ้นผิง ของจีน และ คิม จองอึน ของเกาหลีเหนือ อย่างออกหน้าออกตา

ทุกครั้งที่ทรัมป์พูดถึงคนเหล่านั้น ดูทรัมป์จะใช้น้ำเสียงเป็นมิตร ไม่พูดจาว่าร้าย ทำหน้าตึงใส่

ผิดกับเวลาทรัมป์เจอกับผู้นำโลกเสรีประชาธิปไตยอื่นๆ โดยเฉพาะชาติพันธมิตรที่เคยร่วมกับสหรัฐ กำหนดกฎระเบียบความสัมพันธ์ของโลกมาอย่างยาวนาน

ทรัมป์ทั้งแยกเขี้ยว ทั้งชวนทะเลาะอยู่ตลอดเวลา

เป็นความน่าสงสัยที่ “กาแฟดำ” พยายามจะตอบคำถามในบทความนี้

รอช้าอยู่ไย…พลิกอ่านกันดีกว่า •