‘แมนฯ ยู vs แรชฟอร์ด’ ภาคต่อของ ‘ซานโช่’ และฉากจบที่มีแต่ความเจ็บปวด

มาร์คัส แรชฟอร์ด หมดอนาคตกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปดื้อๆ หลังจากที่ทีมปีศาจแดงได้ รูเบน อโมริม มาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ เมื่อเกือบ 3 เดือนก่อน

ในช่วง 3 เกมแรกที่อโมริมมาคุมทีม แรชฟอร์ดยิงประตูได้ทั้งหมด เหมือนกับว่าโค้ชชาวโปรตุเกสจะเรียกฟอร์มเก่งของเด็กปั้นจากอคาเดมีของทีมปีศาจแดงได้อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านั้นโดนวิจารณ์อย่างหนักในช่วงที่ อีริก เทน ฮาก ยังคุมทีมและส่งเขาลงสนามเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม อโมริมดร็อปแรชฟอร์ด 13 เกม โดยให้เหตุผลว่าซ้อมได้ไม่ดี แต่ยังยืนยันว่าต้องการให้แรชฟอร์ดทุ่มเทกับการฝึกซ้อม เพื่อกลับมามีชื่อในทีมอีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีชื่อแม้แต่เป็นตัวสำรอง จนท้ายที่สุดแล้ว แมนฯ ยูยอมปล่อยให้แอสตัน วิลล่า ยืมตัวไปใช้งานจนจบฤดูกาลนี้

 

ในช่วงแรกที่ไม่มีชื่อลงสนาม แรชฟอร์ดได้ใช้วิธีให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสื่อ และบอกว่าพร้อมเจอกับความท้าทายใหม่ และจะไม่พูดในแง่ลบถึงแมนฯ ยู ถึงแม้จะไม่ได้อยู่กับทีมอีกต่อไปแล้ว

การไม่มีแรชฟอร์ด 13 เกม ทีมปีศาจแดงก็ไม่ได้มีผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง แพ้ไปถึง 6 เกม และแพ้ในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปถึง 5 เกม กองหน้าที่อโมริมเลือกลงสนามอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โยชัว เซิร์กเซ่ ยิงรวมกันได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น แต่กุนซือชาวโปรตุกีสยังคงไม่ให้โอกาสกองหน้าเบอร์ 10 ของทีมให้ลงไปช่วยกู้สถานการณ์

อโมริมบอกว่า ถ้าจะเอานักเตะที่ไม่ทุ่มเทลงสนาม ยอมให้โค้ชผู้รักษาประตูอายุ 63 ปี ลงเล่นจะดีกว่า ประโยคนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อโมริมไม่มีแรชฟอร์ดอยู่ในแผนการทำทีมอีกต่อไปแล้ว พร้อมทั้งดัน ค็อบบี้ เมนู กองกลางดาวรุ่ง ขึ้นไปเล่นเกมรุกมากขึ้น

ตลอด 13 นัดที่แรชฟอร์ดไม่มีชื่อ เขายังคงรับเงินค่าเหนื่อยรวม 2 ล้านปอนด์ (84 ล้านบาท) การจะให้นักเตะซ้อมเพื่อรับเงินขนาดนั้น คงไม่ใช่หนทางที่ควรจะทำของแมนฯ ยู ในยุคที่เน้นรัดเข็มขัดแบบนี้ สุดท้ายแล้วการให้ทีมอื่นยืมตัวไปพร้อมช่วยจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

เอซี มิลาน, บาร์เซโลน่า, ดอร์ตมุนด์, ยูเวนตุส ต่างอยากใช้บริการของแรชฟอร์ด แต่ค่าเหนื่อย 350,000 ปอนด์ (14.75 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ เป็นปัญหาของทุกทีม ถึงแมนฯ ยูจะช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง ก็ยังยากที่ทีมนอกอังกฤษจะจ่ายจำนวนที่เหลือให้กับนักเตะที่ยังไม่แน่ว่าจะคุ้มค่ากับการดึงตัวมาร่วมทีมหรือไม่

ขณะที่วิลล่ายอมรับผิดชอบค่าเหนื่อยถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และแมนฯ ยูจ่ายที่ 30 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทั้งมีออปชั่นซื้อขาดไว้ที่ 50 ล้านปอนด์ (2,108 ล้านบาท) ถ้าแรชฟอร์ดเล่นได้เข้าตา อูไน เอเมอรี่ กุนซือทีมสิงห์ผยองในช่วงเวลา 5 เดือนกว่าๆ ที่ร่วมงานกัน

มีการคาดการณ์กันว่า แรชฟอร์ดจะไม่ได้กลับมาลงเล่นให้แมนฯ ยูอีกแล้ว เว้นเสียแต่ว่าอโมริมจะไม่ได้อยู่กับทีมปีศาจแดงในฤดูกาลหน้า หรืออาจจะได้แค่เล่นพรีซีซั่นก่อนถูกขายออกไป ในแบบเดียวกับ เจดอน ซานโช่ ที่มีปัญหากับเทน ฮาก และปล่อยให้ดอร์ตมุนด์ต่อด้วยเชลซีเอาตัวไปใช้งาน พร้อมออปชั่นซื้อขาดแบบที่ดูแล้วอย่างไรก็ต้องซื้อ เพราะเชลซีไม่น่าจะต่ำกว่าอันดับ 14 ของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้แน่ๆ

 

สื่ออังกฤษรายงานกันไปถึงขั้นว่า แม้ว่าอโมริมจะไม่ได้ทำทีม แรชฟอร์ดก็คงไม่ได้กลับมาใส่เสื้อปีศาจแดงลงสนามอีกแล้ว เพราะความสัมพันธ์กับสโมสรที่ปั้นเขามามันพังจนยากจะเชื่อมใหม่แล้ว

แม้ว่าแรชฟอร์ดจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีโอกาสทำลายสถิติดาวยิงสูงสุดของแมนฯ ยู 253 ประตู ของเวย์น รูนีย์ ถ้าเขายังอยู่กับทีมไปในระยะยาว เพราะตอนนี้ก็ยิงไปแล้ว 138 ประตู ในวัย 27 ปี โอกาสจะทำได้ก็ถือว่ายังพอมี แต่เมื่อพฤติกรรมนอกสนามไม่มีความเป็นมืออาชีพนัก และสื่ออังกฤษก็ขุดคุ้ยกันมาเรื่อยๆ การแยกย้ายกันไปเติบโตเป็นเรื่องที่ดีกับทุกฝ่าย

แฟนแมนฯ ยูจำนวนมากที่บ่นเสียดายกองหน้ารายนี้ แต่ในบางเกมที่มีแรชฟอร์ดอยู่ในสนามแล้วเหมือนไม่มี การจะให้เหตุผลว่าเป็นลูกหม้อสโมสร เคยยิงประตูให้ทีมมากมาย แล้วทนดูสภาพแบบนั้นต่อไป คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก

นักฟุตบอลเข้ามาแล้วก็จากไป แต่สโมสรจะอยู่ต่ออีกนานแสนนาน วันหนึ่งชื่อของแรชฟอร์ดก็เป็นแค่เรื่องเล่าอีกบทหนึ่ง

เหมือนนักเตะหลายต่อหลายคนที่ได้จากโรงละครแห่งความฝันไปแล้วนั่นเอง •

 

Technical Time-Out | จริงตนาการ

[email protected]