ไฉน ‘ทรัมป์’ ชื่นชม ‘3 สหาย’ มากกว่าพันธมิตรเดิม?

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

ไฉน ‘ทรัมป์’ ชื่นชม ‘3 สหาย’

มากกว่าพันธมิตรเดิม?

 

ทําไมโดนัลด์ ทรัมป์ จึงแสดงความชื่นชมผู้นำแบบเบ็ดเสร็จที่เคยถูกโลกตะวันตกมองว่าเป็นศัตรูอย่างร้ายกาจ?

ทำไมทรัมป์จึงแสดงตนอยู่เหนือและด้อยค่าผู้นำอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนาน?

นี่คือ “ความพิสดาร” ของความเป็นทรัมป์ที่ยังต้องพยายามแสวงหาคำอธิบายกันต่อไป

มีคนเตือนผมว่าหากจะอ่านทรัมป์ให้ทะลุ ต้องไม่ใช้ไม้วัดแบบเดิม

เพราะเขาไม่ใช่ผู้นำในความหมายที่ประเมินด้วยวิธีคิดแบบเก่าก่อน

ทรัมป์ต้องการจะ “ครองโลก”

และวิธีเดียวที่เขาจะสามารถสร้างมิติใหม่สำหรับตัวเองได้ก็คือการทำให้เขาพิชิตผู้นำที่ยืนอยู่คนละข้างให้จงได้

 

เพราะผู้นำตะวันตกและชาติอื่นๆ ที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับสหรัฐตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นยอมศิโรราบต่อสหรัฐโดยอัตโนมัติแล้ว

แต่ที่ยังท้าทายอำนาจของมหาอำนาจหมายเลขหนึ่งอย่างสหรัฐนั้นคือจีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

หากอ่านใจของทรัมป์จากคำพูดของเขามาตลอดจะเห็นได้ว่าเขาแสดงความชื่นชมสี จิ้นผิง, ปูติน และเกาหลีเหนืออย่างไม่ลังเล

เขายอมรับเองว่าบางครั้ง “แอบอิจฉา” ผู้นำทั้งสามคนนี้เพราะสามารถทำให้ประชาชนของตนยอมทำตามโดยไม่ต้องมีเสียงขัดแย้ง, คัดค้านหรือท้าทาย

ลึกๆ แล้ว น่าจะตีความได้ว่าทรัมป์อยากได้ “ประชาชน” ที่ “ว่านอนสอนง่าย” อย่างนั้นบ้าง

เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าได้ช่วยให้เขารอดจากการถูกลอบสังหารมาเพื่อ “กอบกู้สหรัฐให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” คนอเมริกันทั้งประเทศก็ควรจะต้องยอมรับสิ่งที่เขากำลังจะทำให้กับอเมริกาโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ

นั่นคือลุกขึ้นมาทำตามที่เขาบัญชาทุกสิ่งอันโดยไม่ต้องตั้งคำถามอะไรมากมาย

นั่นย่อมหมายความว่าเขาคงอยากจะได้สังคมอเมริกันที่ปราศจากพรรคการเมืองนโยบาย “ฝ่ายซ้ายจัดที่อันตรายอย่างยิ่ง” อย่างเดโมแครต

เขาไม่ต้องการจะอยู่ร่วมกับนักคิดนักวิเคราะห์นักเคลื่อนไหวที่ใช้หลักคิดแบบ “เสรีนิยม” ที่เขาถือว่าเป็นอันตรายต่อการสร้างชาติสหรัฐให้กลับมาเป็นแบบอนุรักษนิยมที่เชื่อในพระเจ้า

ส่วนในความเป็นจริง ทรัมป์มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้าจริงๆ แค่ไหนยังน่าสงสัย

เพราะพฤติกรรมของเขาบ่อยครั้งเป็นการละเมิดศีลธรรมอย่างชัดแจ้ง

 

ทรัมป์ฝันอยากเห็นอเมริกาที่สอนให้เด็กๆ รักชาติ ไม่คิดท้าทายค่านิยมดั้งเดิม ไม่ทำอะไรที่เขามองว่าเป็นเรื่องผิดเพี้ยนไปจากความเป็นคนอเมริกันที่ “คนทั้งโลกจะต้องเคารพและให้เกียรติอย่างจริงจัง” อีกครั้งหนึ่ง

เขาต้องการเห็นอเมริกาที่เป็นเบอร์หนึ่งโดยปราศจากข้อสงสัย

และเขาจะใช้วิธีที่ดุเดือดรุนแรงกับพันธมิตรเพราะเขาเชื่อว่าประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาอเมริกา

แต่เขาไม่ต้องการให้ประเทศเหล่านี้ “เอาเปรียบ” สหรัฐด้วยการพึ่งพาเงินช่วยเหลือและการคุ้มครองของมหาอำนาจอย่างอเมริกาอีกต่อไป

ทรัมป์จึงบอกชัดเจนว่าใครที่ต้องการจะให้อเมริกาปกป้องคุ้มครองต่อจะต้องจ่าย “เบี้ยประกัน”

หรือภาษานักเลงเรียกว่า “ค่าคุ้มครอง”

ทุกบาททุกสตางค์ของงบประมาณอเมริกาจะต้องใช้ให้ “คุ้มค่า”

อันหมายถึงการที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเฟื่องฟูอย่างร้อนแรงเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นอภิมหาอำนาจแต่เพียงผู้เดียว

แล้วทำไมเขาจึงแสดงท่าทีเป็นมิตรกับ “ศัตรู”

 

เพราะทรัมป์ต้องการให้สี, ปูตินและคิม “ยอมรับ” ในความเป็น “ผู้นำระดับโลกแต่เพียงผู้เดียว” ของเขา

ในแง่หนึ่ง ทรัมป์อยากจะเป็น “เผด็จการ” อย่างสี จิ้นผิง ที่สามารถสร้างเศรษฐกิจจีนให้รุ่งเรืองจนสามารถไล่อเมริกามาติดๆ

อีกแง่หนึ่ง เขาอยากเป็นแบบปูตินที่มีความเด็ดขาดแบบเคาบอยที่เป็นที่เกรงขามของเพื่อนบ้านทั้งหลาย

ทรัมป์เองคงแอบนับถือปูตินที่ตัดสินใจส่งทหารเข้ายึดยูเครนเพื่อขยายดินแดนและสั่งสอนผู้นำที่ “หัวดื้อ” อย่างเซเลนสกี

เพราะทรัมป์เองก็อาจมองแคนาดาไม่ต่างจากที่ปูตินมองยูเครน

นั่นคือเพื่อนบ้านที่มีดินแดนที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ มีภาษาและวัฒนธรรมละม้ายคล้ายกัน มีประวัติศาสตร์ที่เชื่อมโยงต่อกัน

และดูเหมือนจะมีความเก่งกาจสามารถมากกว่าตนเองในหลายๆ เรื่อง

 

หากจะควบรวมมาเป็นส่วนหนึ่งของตนเสียเลยก็จะเป็นการสยายปีกและเพิ่มอำนาจบารมีของตนอย่างโดดเด่น หาใครมาเทียบมิได้

ปูตินใช้วิธีส่งทหารเข้าไปยึดดินแดนยูเครนบางส่วนด้วยการอ้างว่าเพื่อเข้าไปปกป้องคุ้มครองคนเชื้อสายรัสเซียในยูเครนที่ไม่พอใจการปกครองภายใต้เซเลนสกี

โดยไม่สนใจเรื่องกติกาสากลว่าด้วยการเคารพในบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติอื่น

ทรัมป์ใช้วิธีการ “รุกราน” ด้วยการเหมาเอาเองว่าคนแคนาดาจำนวนไม่น้อยต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ

โดยไม่แจ้งว่าเขาได้ข้อสรุปนั้นมาอย่างไร

และใช้วิธีสร้างแรงจูงใจด้วยการขายความคิดที่ว่าถ้าแคนาดาเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐก็จะเสียภาษีน้อยลง และกองทัพอเมริกันก็จะคุ้มครองพวกเขา

ทรัมป์ใช้โซเชียลมีเดีย (ต้นทุนต่ำ) ขณะที่ปูตินส่งทหารเป็นแสนเข้าทำภารกิจ (ทุ่มสุดตัว)

เพราะทรัมป์คิดและทำแบบนักธุรกิจ ทุกอย่างเป็นเรื่อง “ธุรกรรม” หรือ transactional

สำหรับทรัมป์ ตัวเลขกำไร-ขาดทุนคือตัวตัดสิน

สำหรับปูติน คำว่า “พิชิต” หมายถึงการแสดงพลังทั้งด้านกายภาพและจิตวิทยา

 

กําไร-ขาดทุนสำหรับปูตินคือการแสดงแสนยานุภาพทางทหารและยุทธศาสตร์ที่มองข้ามยูเครนไปสู่โลกตะวันตก

ทรัมป์มองเห็นคิม จองอึน เป็น “จอมบู๊” ที่เขาอยากจะเป็นเพราะไม่ต้องฟังเสียงค้านหรือแม้การคว่ำบาตรจากใคร, ไม่ว่าจะใหญ่เพียงใดก็ตาม

พอทรัมป์ได้ชัยชนะท่วมท้นจากการเลือกตั้ง เขาก็เริ่มจะเชื่อเหมือนที่ “ฮิตเลอร์” แห่งนาซีเยอรมันในยุคสงครามโลกครั้งที่สองว่าเขามีความชอบธรรมที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางที่เขานำเสนอมาตลอด

นั่นคือการสร้างให้อเมริกันผิวขาวที่ไม่ถูกแปดเปื้อนด้วย “ค่านิยมเสื่อมทราม” ที่แฝงมาในเรื่องของ DEI (Diversity, Equity, Inclusion) หรือความหลากหลาย, เท่าเทียมและมีส่วนร่วม

สำหรับทรัมป์มันเป็นแนวทางที่เขาเรียกว่า Globalist ซึ่งแฝงไว้ด้วย “อิทธิพลทางเลวร้าย” ที่ทำให้เยาวชนมะกันไม่เคารพพ่อแม่, ไม่เข้าโบสถ์, ไม่สวดมนต์ แต่กลับส่งเสริมให้เด็กๆ “เกลียดชังความเป็นอเมริกัน”

แต่ทรัมป์ไม่สนใจว่าใครจะมาวิพากษ์ว่าเขาเองก็มีค่านิยมทำลายความเป็นอเมริกันดั้งเดิมไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเหยียดผิว, ด้อยค่าผู้หญิง, โกหกหลอกลวง, ลวนลามทางเพศ, โกงภาษี, ผิดศีลธรรมจรรยาอย่างต่อเนื่องทั้งในชีวิตส่วนตัวและในการทำธุรกิจ

หรือใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน

สำหรับเขา กุญแจแห่งความสำเร็จคือความสามารถในการใช้วิธีการ “ต่อรอง” หรือ “make deal” ให้ผู้คนยอมรับ “ความเป็นทรัมป์” ได้ด้วยสารพัดเทคนิคของการหาเสียง

 

เขาไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด, ไม่ต้องซื่อสัตย์ต่อภรรยา, ไม่ต้องอดทนต่อความเห็นต่างใดๆ

และสามารถใช้วิธีการผิดกฎหมายต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายได้…ตราบที่สามารถเอาตัวรอดจากการถูกจับผิดด้วยกฎหมายได้

นั่นถือเป็นความสำเร็จสูงสุดในชีวิต

จากนี้เขาจึงต้องการให้สี จิ้นผิง, ปูติน และคิม จองอึน ยอมรับเขาในฐานะเป็นผู้นำสูงสุดของโลกใบนี้

ด้วยการบอกกล่าวกับชาวโลกว่าเขาสามารถโน้มน้าวผู้นำที่เคยเป็นศัตรูกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนก่อนๆ ได้ทั้งหมด

ด้วยเสน่ห์, วาทะ, อำนาจต่อรองและคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่มีใครคาดเดาได้ (unpredictability) ของเขา

กับพันธมิตรที่ทรัมป์กล่าวหาว่า “เอาเปรียบ” อเมริกา ทรัมป์อาจใช้วิธี “ทุบด้วยค้อน”

แต่กับสี, ปูติน, คิม…ทรัมป์กำลังใช้ปฏิบัติการ “กำปั้นเหล็กหุ้มกำมะหยี่”

ใครจะ “หลงกล” พี่แกบ้างหรือไม่อย่างไร อีกไม่นานก็กระจ่างแจ้งต่อผู้คน!