ในประเทศ / ฤทธิ์ “เกาลัด” ปักกิ่ง กระพี้ “2 พี่น้อง” เขย่า “ใจเพชร” ลุงตู่

ในประเทศ

ฤทธิ์ “เกาลัด” ปักกิ่ง กระพี้ “2 พี่น้อง” เขย่า “ใจเพชร” ลุงตู่

 

การปรากฏภาพ นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 พี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรี

เดินเลือกซื้อ “เกาลัด” ย่านถนนคนเดิน หวังกู่จิง กลางกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

แม้เป็นแค่ “กระพี้” ไม่ใช่ “แก่น” ในทางการเมือง

แต่กลับสร้างความหงุดหงิดอย่างมากให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.

เป็นความหงุดหงิดที่ไม่เพียงแสดงออกผ่านคำกล่าวปาฐกถาในงานวันสิทธิมนุษยชนสากล ตอนหนึ่ง

“ขณะนี้ประเทศไทยมี 2 คนขยับอยู่ต่างประเทศ แต่กลับทำให้คนปั่นป่วนไปหมดในประเทศ ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ตามรายงานข่าว ยังแสดงออกผ่านการเดินกระแทกส้นเท้าขึ้นบันไดตึกไทยคู่ฟ้าอีกด้วย

เฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่การไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีจำนำข้าว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 และหายตัวไป กระทั่งปัจจุบันนานเกือบ 6 เดือน

การปรากฏตัวบนถนนคนเดิน กลางกรุงปักกิ่ง โดยมีภาพถ่ายยืนยันครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

เพราะเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2560 ก็เคยปรากฏภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้าเวสต์ฟิลด์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ถัดจากนั้นวันที่ 4 มกราคม 2561 ก็ปรากฏภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถ่ายคู่กับหญิงสาวคนไทยที่เดินทางไปเที่ยวกรุงลอนดอน ช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยภาพถ่ายมีฉากหลังคือห้างแฮร์รอดส์ ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของลอนดอน

ล่าสุดมาโผล่เดินซื้อเกาลัด อยู่ตลาดกลางกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งมีความพิเศษกว่าครั้งใดๆ

เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายทักษิณ ชินวัตร

ปรากฏตัวอยู่ในภาพถ่ายพร้อมกัน

พรรคเพื่อไทยระบุ การมากรุงปักกิ่งของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องการมาฉลองตรุษจีนกับคนใกล้ชิดและนัดพบปะกับเพื่อน

โดยมีแกนนำและอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปพบปะเยี่ยมเยียน พูดคุยกันถึงประเด็นการเมืองทั่วไป และทิศทางอนาคตพรรคเพื่อไทย

โดยนายทักษิณประเมินสถานการณ์การเมืองในไทย เชื่อว่าการเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล คสช. ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้หมด

ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดูมีสุขภาพแข็งแรง มีความสุขดี

ท่ามกลางอารมณ์หงุดหงิดต่อ “กระพี้” ของผู้นำรัฐบาล คสช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่กรณีนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ขณะนี้ทั้ง 2 คนเดินทางออกจากจีนไปอยู่ “ญี่ปุ่น” แล้ว

ต่อมาวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์เซาธ์ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ของฮ่องกง และเจแปนไทมส์ ของญี่ปุ่น รายงานตรงกันว่า

นายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งพำนักอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ได้ออกจากญี่ปุ่นไปถึง “ฮ่องกง” แล้ว

รายงานข่าวระบุด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งแรก เป็นการส่วนตัว นับจากหายออกจากประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดยได้รับ “อนุญาตพิเศษ” จากรัฐบาลญี่ปุ่น

นอกจากนายทักษิณแล้ว ยังมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ อีกคน ร่วมเดินทางไปด้วย

ทั้งนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกฯ ของไทยขณะนั้น เดินทางไปเยือนฮ่องกง เป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือทางการค้าระหว่างกระทรวงพาณิชย์ 2 ประเทศ พร้อมนำทีมเศรษฐกิจหารือนักลงทุนฮ่องกง ชักชวนลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

เดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปเยือนญี่ปุ่น หารือทวิภาคีกับ นายชินโสะ อาเบะ นายกฯ ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นแสดงความสนใจการลงทุนด้านดาวเทียมและรถไฟความเร็วสูงในไทย

เป็นนายกฯ ชินโสะ อาเบะ คนเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หารือและแถลงร่วมกันเป็น “ปฏิญญาโตเกียว” เมื่อครั้งไปเยือนญี่ปุ่นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า

ไทยจะมีการเลือกตั้งช่วงต้นปี 2559

จาก “ปฏิญญาโตเกียว”

ผ่าน “ปฏิญญานิวยอร์ก” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หารือ นายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ แล้วประกาศว่า ไทยจะมีการเลือกตั้งกลางปี 2560

ไม่ว่าปฏิญญาใดๆ ก็ไม่เคยเป็นจริง

แม้แต่แถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุไทยจะจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561

ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า จากการประสานร่วมมือระหว่างแม่น้ำหลายสาย ในการขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ออกไปอีก 90 วัน ทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปเป็นปี 2562

การเลื่อนเลือกตั้งออกไป ได้กลายเป็นประเด็นจุดชนวนให้กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นำโดย นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นายรังสิมันต์ โรม นายอานนท์ นำภา นายสุกฤษฎิ์ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ฯลฯ ออกมาเคลื่อนไหว

เรียกร้องให้จัดเลือกตั้งในปี 2561 ตามสัญญา แม้จะถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งความดำเนินคดีหลายข้อหา

ภายหลังการชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน ใกล้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับวันที่ภาพของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ถูกปล่อยออกมา

จุดนี้เองทำให้พรรคฝ่ายตรงข้าม และกลุ่มต้าน “ระบบทักษิณ” ขยายผลในลักษณะ “จับแพะชนแกะ” เชื่อว่าการเคลื่อนไหวทั้ง 2 ส่วนมีความสัมพันธ์เกื้อหนุนกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อ้างผลสำรวจความคิดเห็นใน “ไลน์” ต่อการชุมนุมวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ว่า ผู้ตอบแสดงความเห็น ส่วนหนึ่งไม่มั่นใจในตัวผู้เคลื่อนไหว และไม่ต้องการให้เหตุการณ์นำบ้านเมือง

กลับไปสู่ “ระบบทักษิณ”

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรากฏภาพ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ในวันเดียวกับการชุมนุม อาจแปลความได้ว่า

เป็น “พวกเดียวกัน” หรือไม่

ขณะที่ “นักห้อยโหน” บางคนใน สนช. มองในมุมการเคลื่อนไหวของนายทักษิณและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จากอังกฤษมาจีน ไปญี่ปุ่น ต่อด้วยฮ่องกง

คือความพยายามใช้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมไทย” พร้อมกับการส่งสัญญาณให้กลุ่มมวลชนออกมาเคลื่อนไหว

กดดันรัฐบาล คสช. ช่วง “ขาลง”

เพื่อช่วงชิงกระแสขณะที่การเลือกตั้งใกล้มาถึง

ฝ่ายพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ 2 อดีตผู้นำพรรค ที่เดินทางไปปรากฏตัวในหลายประเทศ

เป็นการสะท้อนให้เห็นได้ว่า รัฐบาลประเทศนั้นๆ มีความเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยอย่างละเอียดลึกซึ้งเพียงใด

ทั้งที่ไม่ว่านายทักษิณ หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่างก็ถูกรัฐบาลไทยสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตแล้วทุกเล่ม

แต่ทำไมถึงเหาะเหินเดินอากาศไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก โดยทุกประเทศที่ไปก็พร้อมเปิดประตูต้อนรับ

เป็นคำถามที่รัฐบาลไทยก็ให้คำตอบไม่ได้

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศยอมรับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือหนังสือเดินทางประเทศใด

ขณะที่การสอบถามไปยังประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ ที่มีกระแสมาตลอดว่าได้มอบสถานะ “ผู้ลี้ภัย” หรือให้พาสปอร์ตกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้รับคำตอบชัดเจน

ส่วนเรื่องการติดตามขอตัวข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในไทย แทบไม่ต้องถามความคืบหน้า เนื่องจากไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายทางประเทศใดทั้งสิ้น

รวมถึงการประสานข้อมูลกับตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ก็ยังย่ำอยู่จุดเดิมเหมือนเมื่อ 5 เดือนก่อน

ตรงนี้เองนำมาสู่เสียงเรียกร้องของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สื่อสารไปยังหลายประเทศ บางช่วงบางตอนว่า

บางคนกระบวนการครบแล้ว ลงโทษไปแล้ว ยังเคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ หลายประเทศมองเรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว มองอื่นๆ เป็นเรื่องภายในของแต่ละประเทศ

ใครละเมิดกฎหมายของแต่ละประเทศ มาทำผิดในไทย เราก็ดำเนินคดี จับกุมส่งตัวกลับไปลงโทษที่ประเทศต้นทาง

“ทุกประเทศต้องเคารพสิ่งเหล่านี้ด้วย อย่าให้มีการเคลื่อนไหวของคนทำผิดกฎหมาย เราเคารพกฎหมายคนอื่น คนอื่นก็ต้องเคารพกฎหมายเราเช่นกัน” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ

ลำพัง “ทักษิณ” คนเดียวก็เขย่าการเมืองไทยจนปั่นป่วน

เมื่อรวมกับ “ยิ่งลักษณ์” เท่ากับสองแรงบวก รัฐบาลและ คสช. ในสภาวะ “ขาลง” ต้องเหน็ดเหนื่อยเพิ่มอีกหลายเท่า

ต่อให้คน “ใจ” แกร่งดุจ “เพชร” ขนาดไหน

ก็ต้องสะเทือนจากแรงเขย่าของ 2 พี่น้องอดีตนายกฯ แน่นอน