เล็กฉายภาพใหญ่ | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

เล็กฉายภาพใหญ่

 

หลังการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(นายกอบจ.)

เราคงได้เห็น ปรากฏการณ์ เล็ก สะท้อนใหญ่ หลายเรื่อง

หนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบทเวทีปราศรัยในโค้งสุดท้ายที่ลำพูนและเชียงใหม่

“…ตอนนี้รัฐบาลผสมมาก ไม่คล่องตัวเลย อ้างนู่นอ้างนี่ ปลดนั่นปลดนี่มันก็ไม่ไหว ดังนั้นขอให้เลือกเพื่อไทย มากๆ ไว้ดีที่สุด…”

และ

“…เลือกตั้งครั้งหน้าขอให้เลือกเพื่อไทยให้หมด ผมไปที่ไหนก็บอกว่าจะเอาให้เพื่อไทยกลับคืนมาเกิน 200 เสียง เพราะคราวที่แล้วได้น้อยไปหน่อย มีพรรคร่วมรัฐบาลเยอะทำงานได้ แต่ช้า คราวหน้าให้มีพรรคร่วมน้อยๆ เอาเพื่อไทยเยอะๆ รับรองว่าทำงานแล้วจะรวยเหมือนสมัยไทยรักไทย มันใหญ่ ทำงานได้เร็ว เพราะรัฐมนตรีอยู่ด้วยกัน อยู่สังกัดเดียวกันหมด ไม่มีเลศนัย เล่ห์เหลี่ยม…”

ตามคำพูดดังกล่าว ชัดเจนถึง ความไม่ถูกใจในองค์ประกอบของ “การเมืองใหญ่” ตอนนี้ สักเท่าใดนัก

โดยนายทักษิณเห็นว่า มีพรรคร่วมรัฐบาลมาก

นำไปสู่การทำงานที่ไม่คล่องตัว และช้า

ยิ่งกว่านั้น ด้วยเพราะรัฐมนตรีไม่ได้อยู่”สังกัด”เดียวกัน ได้นำไปสู่ การ”อ้างนู่นอ้างนี่”และ”มีเลศนัย เล่ห์เหลี่ยม”

ซึ่งจะหมายถึงเรื่องอะไร

คนที่ติดตามการเมือง คงพอจะมองออก

และนี่จึง ทำให้นายทักษิณ ปรารถนา ให้คืนวันในช่วงพรรคไทยรักไทยหวลคืนกลับมา

นั่นคือ ความเป็นพรรคใหญ่ มีเอกภาพ และรวมถึงการมากด้วยความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

นี่จึงน่าจะเป็น”โมเดล”สำหรับ การเมืองใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งปี 2570 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น เพราะรัฐบาลกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่สาม เริ่มสู่ช่วงปลายของรัฐบาล ที่การเมืองมักจะมีอะไรพลิกผันให้เห็นเสมอ

ดังนั้น การเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งใหม่ จึงต้องเริ่มขึ้นแล้ว

แน่นอน สำหรับนายทักษิณ โมเดล ที่อยากเห็นและอยากให้เป็นคือ การเป็นพรรคใหญ่ มากกว่า 200 เสียง

เราจึงได้เห็น การพยายามต่อเชื่อมเวทีเล็ก คือการเมืองท้องถิ่น ไปสู่ เวทีใหญ่ คือการเมืองระดับชาติ

มีการฟื้นสัมพันธ์ กับองคาพยพในทุกระดับ โดยเฉพาะ”บ้านใหญ่”ที่เริ่มหวลกลับมามีสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทย

พร้อมๆกับปรากฏการณ์ “กินส้ม” รวมถึงการ”ไล่หนูตีงูเห่า” เพื่อสกัดคู่แข่ง

ซึ่งกรณี “กินส้ม”นั้น คงไม่ต้องสงวนท่าทีนัก เพราะตอนนี้ยืนกันอยู่คนละฝ่าย ในฐานะ รัฐบาล กับ ฝ่ายค้าน

แต่การ”ไล่หนูตีงูเห่า” นั้นชัดเจนว่า เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ค่อนข้างจะ”ซับซ้อน” เพราะด้านหนึ่งต้องทำงานร่วมกัน

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องแข่งขัน ขับเคี่ยว กันด้วย

หลังการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่น่าจะเห็นแนวโน้มการเมืองอะไรบางอย่าง และต่อเนื่องไปถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มักจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีเสมอ ก็คงพอทำให้ประเมินได้ว่ารัฐบาลผสมจะราบรื่นเพียงใด

ซึ่งเชื่อว่า คงจะร้อนแรงขึ้นตามลำดับ

แน่นอนสำหรับพรรคเพื่อไทย ย่อมมีการบ้านให้ทำมากมาย ทั้งการผลักดันนโยบายใหม่ๆใหญ่ๆ ออกมาให้เป็นรูปธรรมให้ได้

ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือ กับกระแสต่อต้าน ที่ยังคงพุ่งเป้าไปยังครอบครัว”ชินวัตร”อย่างไม่สร่างซา

การรับมือกับนานาปัญหา จึงไม่ง่ายนัก หากหยุดนิ่งหรือถดถอย อำนาจต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลก็ย่อมลดลง

ทำให้การขับเคลื่อนรัฐบาลผสมเพื่อที่จะให้เกิดงานอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าตาชาวบ้าน ลำบากยิ่งขึ้น

ซึ่งนั่นก็คงต้อง จับตาว่าอดีตนายกฯทักษิณ จะปรับยุทธศาสตร์และยุทธวิธี อย่างไร

เพื่อให้ เพื่อไทย กลับมายิ่งใหญ่เหมือนยุคไทยรักไทย

นี่คือสิ่งท้าทาย

————