เพื่อนเก่า (ในวันสิ้นแสงดาวแห่งศรัทธา) | เรื่องสั้น : นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

เพื่อนเก่า (ในวันสิ้นแสงดาวแห่งศรัทธา)

เรื่องสั้น | นรเศรษฐ์ ทับทิมทอง

 

 

[18 พฤษภาคม 2535]

แดดบ่ายแม้ร้อนอบอ้าว แต่ไม่แผดเผาความรู้สึกมากไปกว่าสถานการณ์ตรงหน้า ผมกับเพื่อนสนิทอีกสองคน เราอาศัยความชุลมุน วิ่งก้มหัวงุดๆ หลบลูกปืน และแก๊สน้ำตาที่ถาโถมมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงโหวกเหวกกู่ร้อง และร่ำไห้ของฝูงชน ดังอยู่รายรอบ จากท้องสนามหลวง เราถูกไล่ต้อนด้วยสายฉีดน้ำแรงดันสูง พวกเขาดูดเอาน้ำเน่าๆ จากครองรอบกรุงพ่นใส่อย่างไม่ขาดระยะ จนมาถึงสะพานผ่านฟ้า ผ่านกรมประชาสัมพันธ์ และตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุม ถอยร่นมาอยู่บริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ผมไม่คิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายจนถึงขั้นเจ้าหน้าที่กล้าใช้กระสุนจริง แต่เลือดสีแดงข้นกับความเจ็บปวดบนไหล่ซ้ายของผม รวมถึงจำนวนผู้คนมากมายที่ล้มลงแน่นิ่งอยู่บนท้องถนน เป็นสิ่งยืนยันได้ดี

ในวัยราว 20 ความห้าวห่ามมาพร้อมๆ กับความอ่อนเดียงสา เช่นกัน เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ความโกรธก็พุ่งขึ้นเท่าๆ กับความหวาดกลัว แม้เรายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นดีนัก แต่ก็ใช่ว่าบอดใบ้ต่อความเป็นไป การก้าวขึ้นเถลิงอำนาจของท่านผู้นำ ด้วยการหักล้างหลักประชาธิปไตยอย่างโจ่งแจ้ง ได้สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนเป็นอย่างมาก ชนวนเหตุเริ่มมาก่อนหน้านี้ราวหนึ่งปี เมื่อคณะ รสช. ทำการรัฐประหารคณะรัฐบาลในขณะนั้น โดยให้เหตุผลเรื่องการฉ้อโกงอย่างหนัก และพยายามล้มล้างสถาบันทหาร สถานการณ์โหมกระพือเหมือนไฟลามทุ่ง แผ่สยายความร้อนแรงมาจนถึงวันนี้

แล้วเสียงปืนนัดแรกก็แตกออกจากรังเพลิง

 

นับย้อนหลังจากเหตุการณ์ไปราวสองปี ผม เอก และตั้ม เราสามคนเป็นเด็กหนุ่มจากต่างจังหวัดที่เพิ่งเข้ามาเรียนต่อโรงเรียนช่างก่อสร้างในกรุงเทพมหานคร แม้แตกต่างทางภูมิลำเนา แต่ความสนใจใคร่รู้ และรสนิยมการใช้ชีวิตของเราใกล้กัน

เอกนั้นเริ่มไว้ผมยาวอย่างศิลปิน บวกกับรูปร่างผอมสูง ใบหน้าตอบ จนเพื่อนร่วมชั้นเรียนมักแซวเขาอยู่บ่อยๆ ว่าเหมือนผีทะเล แต่บางคนว่าเหมือนประเทือง เอมเจริญ ศิลปินวาดรูปแนวหน้าของประเทศ เอกนั้นช่างฝัน เขาชื่นชอบศิลปะ บทกวี และนวนิยาย ทั้งยังหัดเขียนบทกวีอยู่สม่ำเสมอ ในย่ามสะพายบ่าของเขา มักมีหนังสือ สมุดโน้ต ดินสอ ปากกา ติดไว้เหมือนของขลังประจำตัว

สำหรับตั้ม รายนั้นเป็นคนค่อนข้างหัวรุนแรง เอาจริงเอาจังกับชีวิต หนังสือที่ตั้มอ่านมักเป็นพวกวรรณกรรมหนักๆ มีทั้งงานจากนักเขียนไทย วรรณกรรมแปลแนวก้าวหน้า บางครั้ง ตั้มก็มีหนังสือประเภทปรัชญา หรือบทความเชิงสังคม ติดมือมาอ่านบ้าง ผมมองแล้วก็เข้ากันดีกับท่าทางนิ่งเฉย และแว่นตาหนาเตอะของเขา อาจเพราะตั้มเป็นเด็กบ้านแตกตั้งแต่ยังเล็ก ได้อาศัยเติบโตมากับปู่และย่าเพียงลำพัง จึงส่งผลให้เขามีบุคลิกแบบเด็กหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึก

ส่วนผมในเวลานั้น ต้องยอมรับว่า ยังไม่ค่อยประสีประสากับรสนิยมหนังสือของเพื่อนทั้งสอง ที่ชอบอ่านก็เป็นพวกนิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ หรือไม่ก็หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กที่ได้รับรางวัลบางเล่มมากกว่า เรียกว่าอ่านอะไรที่ตามกระแส

อาจเพราะความเป็นเด็กต่างจังหวัดเหมือนๆ กัน หรือที่สมัยนี้เรียกเคมีตรงกัน หลังจากนั้นไม่นาน เราจึงตัดสินใจเช่าหออยู่ร่วมกัน ระยะเวลาสองปีกับการเรียนระดับชั้น ปวส. ทำให้ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้น ยิ่งเป็นช่วงวัยกำลังแสวงหาหนทางความใฝ่ฝัน หนังสือเล่มแล้วเล่มเล่าเริ่มเรียงหน้าเข้ามาในชีวิต ก็โดยการแนะนำจากเพื่อนทั้งสอง เริ่มด้วยนวนิยายล่องไพร ขยับขยายไปเป็นรวมเรื่องสั้นสะท้อนสังคมของนักเขียนในประเทศ บทกวี และวรรณกรรมที่เป็นผลพวงจากเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อทศวรรษก่อน รวมถึงวรรณกรรมแปล ทั้งฝรั่งเศส จีน รัสเซีย ฯลฯ ซึ่งเป็นวรรณกรรมแนวปฏิวัติยุคสมัย และสังคม นักเขียนหลายนาม เรื่องเล่าหลากมิติ เริ่มผ่านเข้ามาในกระแสสำนึก ประเด็นในหนังสือบางเล่ม ทำเอาเราถกกันท่ามกลางวงกินดื่ม พร้อมๆ กับเสียงเพลงเพื่อชีวิตจากตลับเทปของเอกที่มีสะสมอยู่หลายม้วน บ่อยครั้งการอ่านติดพันไปยันโต้รุ่ง เรียกว่าช่วงเวลานั้น เราให้ค่าความสำคัญกับหนังสือประเภทดังกล่าว มากกว่าตำราวิชาเรียน คล้ายมันเป็นเชื้อไฟชั้นดีสำหรับวัยหนุ่ม ผู้วาดหวังถึงสังคมแห่งอุดมคติ

จังหวะเดียวกับสถานการณ์การเมืองเริ่มเกิดกระแสต่อต้านท่านผู้นำ เค้ารางของการทำรัฐประหารส่งสัญญาณมาได้สักระยะ ประวัติศาสตร์คล้ายวนเวียนซ้ำรอย หากตัดรายละเอียดปลีกย่อย เหมือนว่าเส้นทางแห่งอำนาจจะเกิดขึ้นจากเรื่องเดิมๆ เปลี่ยนแค่หน้าตาผู้แสดง แน่นอน คนหนุ่มแบบเราเฝ้าติดตามข่าวคราวความเป็นไป มีม็อบเล็กม็อบน้อยตั้งเวทีปราศรัยที่ไหน เราชักชวนกันไปที่นั่น ส่วนหนึ่งอาจเพราะอยากไปสัมผัสบรรยากาศจริง

ท้ายสุดของผลพวงการทำรัฐประหาร นายพลท่านหนึ่งจึงได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการตระบัดสัตย์ที่เคยลั่นวาจาไว้ จนได้รับฉายา “เสียสัตย์เพื่อชาติ” จากบรรดาสื่อมวลชน อาจด้วยเหตุผลนี้เอง คล้ายสะเก็ดไฟถูกดีดเข้าใสน้ำมันที่กำลังเดือดระอุรอการปะทุ

จนในที่สุดแรงเพลิงก็โหมเปลว ประชาชนก็เคลื่อนไหว

 

 

[2 มีนาคม 2567]

ทุกครั้งที่มีโอกาสนั่งรถผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรือแม้แต่สถานที่ทางประวัติศาสตร์การเมืองบริเวณใกล้เคียง ผมต้องหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เวลากว่า 30 ปี ภาพความตายของผู้คนยังแจ่มชัด เสียงห่ากระสุน กลิ่นควันเขม่าดินปืน และที่จำไม่ลืม คือแผลเป็นบนไหล่ซ้าย ยังฝากย้ำร่องรอยของเหตุการณ์มาจนถึงปัจจุบัน

บังเอิญวันนี้ ผมกับภรรยา ชวนกันไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ซึ่งทางรัฐบาลไทยอัญเชิญจากอินเดีย นำมาประดิษฐานชั่วคราว ณ จุดสำคัญต่างๆ ในประเทศ ซึ่งสนามหลวงเป็นสถานที่แรก และหากนับรวมวันนี้ จะเหลือเวลาอีกสองวัน ก่อนอัญเชิญไป ณ หอคำหลวง อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ถัดไป

ผมมอบหน้าที่ให้ภรรยาเป็นคนขับ เธอชำนาญเส้นทางในเมืองมากกว่าผมซึ่งไม่ได้เข้ามานาน นับตั้งแต่ต่อเติมบ้านเพื่อทำเป็นโรงแรมแมวเล็กๆ และยังใช้เป็นที่นั่งเขียนหนังสือบ้าง รับงานเขียนแบบเล็กๆ น้อยๆ บ้างในตอนกลางวัน

ระหว่างรถติดบริเวณสี่แยกคอกวัวเพื่อหาที่จอด ผมก้มเล่นแท็บเล็ตอยู่เพลินๆ บังเอิญเจอข่าวข่าวหนึ่ง เกี่ยวกับการเพิกถอนใบอนุญาตอสังหาริมทรัพย์ ในภาพคือโครงการคอนโดมิเนียมหรูริมทะเลที่ถูกระงับการก่อสร้างไว้เพียงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ อีกห้าภาพแปะไว้ข้างกันเป็นภาพบุคคล สองในห้านั้น ผมจำได้ทันทีว่าคือ เอกและตั้ม อีกคนคือรัฐมนตรีสังกัดกระทรวงหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด ผมคุ้นๆ ว่าท่านน่าจะเป็นนายทหารหนุ่มคนหนึ่ง ที่เดินปะปนอยู่ในคณะรัฐประหาร ซึ่งเราเคยร่วมชุมนุมขับไล่ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมครั้งนั้น ส่วนอีกสองคนผมไม่รู้จัก แต่จากเนื้อข่าวที่คลิกเข้าอ่าน จึงรู้ว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ผู้ถือหุ้นใหญ่ และมีส่วนทุจริตร่วมกันกับท่านรัฐมนตรี ข่าวยังบอกอีกว่า คอนโดฯ เจ้าปัญหานี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ โดยรัฐบาลร่วมทุนกับเอกชน ซึ่งไม่ใช่เป็นโครงการแบบรัฐสวัสดิการ รับเฉพาะผู้สูงอายุที่มีกำลังทรัพย์ และหากโครงการดำเนินงานแล้วเสร็จจนถึงเปิดให้บริการ ผลกำไรบางส่วนจะกลับคืนสู่รัฐ

สาเหตุที่คอนโดมิเนียมดังกล่าวถูกเพิกถอนใบอนุญาต และเกิดฟ้องร้องบุคคลทั้งห้าขึ้นนั้น สรุปอย่างรวบรัด จากการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่คณะกรรมการนโยบายทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม พบว่ามีการก่อสร้างผิดไปจากแบบมาก และเมื่อขุดคุ้ยเข้าไปอีก ก็พบว่า แบบที่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารไม่มีความโปร่งใส ซ้ำพื้นที่ของตัวอาคารมากกว่าครึ่ง ยังเข้าข่ายรุกล้ำทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ทั้งนี้ ยังมีเรื่องผลประโยชน์ และการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งความไม่ชอบมาพากลทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็หนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ

เมื่ออ่านข่าวจบ ผมกระหวัดใจไปถึงเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นครั้งล่าสุดที่ได้เจอกับเอกและตั้ม ในงานเลี้ยงวันสถาปนาสถาบัน หลังอัพเดตชีวิต และร่วมกินดื่มกับเพื่อนร่วมรุ่นหลายคนพอเป็นพิธี เราสามคนขอแยกตัวไปต่อกันในผับเพื่อชีวิตเก่าแก่แถวซอยรางน้ำ ซึ่งเราเคยพากันมานั่งฟังเพลงเป็นประจำเมื่อครั้งอดีต ทำนองว่าเป็นการรำลึกความหลัง

 

 

[1 กุมภาพันธ์ 2564]

บรรยากาศคุ้นเคย กับบทเพลงแห่งอุดมคติ ปลุกวัยหนุ่มให้คืนมา ผมค่อนข้างแปลกใจ ที่นักดนตรีบางคน ยังยืนหยัดเล่นดนตรีอยู่ในผับแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่น เส้นผมที่เริ่มแซมขาว กับริ้วรอยบนใบหน้าแม้เปลี่ยนไปตามวัย ทว่าสีหน้า และแววตาของเขาคล้ายยังเปล่งประกายความสดใหม่

ในวันที่อายุใกล้ 50 ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองเป็นเช่นไร ชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขาอาจถูกสายลมความเปลี่ยนแปลงขัดเกลาจนกลมเกลี้ยง หรือสึกกร่อน แต่สันนิษฐานจากบุคลิกท่าทาง และความเป็นไปในอาชีพการงานที่พอรู้มา สถานะทางสังคม และฐานะการเงินของพวกเขา แตกต่างจากผมคนละโลกอย่างแน่นอน

ถึงตรงนี้ ผมต้องหยุดความคิด เมื่อเสียงไวโอลินสากๆ ทว่า เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก จากนักดนตรีคนเก่าบรรเลงอินโทรฯ ก่อนตามมาด้วยเสียงร้องกว้างลึกของมือกีตาร์บนเวที…แล้วเพลงโปรดของเราก็ขึ้นต้น

*พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว

ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล

ดั่งโคมทองส่องเรืองรุ้งในหทัย

เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน…

 

ย้อนไปในเดือนพฤษภาคมปี 2535 หลังถูกยิงจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เคราะห์ดีกระสุนแค่เฉียดถาก แต่เลือดสีแดงข้นบนตัวผม ก็เพียงพอจะทำให้พวกเราขวัญเสีย เอกกับตั้มช่วยกันพยุงปีก พยายามหาทางออกจากพื้นที่ รอบด้านชุลมุนไปหมด ทั้งคลื่นคน และคมกระสุน เราอาศัยวิ่งปะปนไปในความโกลาหน ได้จังหวะจึงผละหนีออกมา

หลังเหตุการณ์ในวันนั้น เป็นปีเดียวกับที่เราจบการศึกษาชั้น ปวส. แล้วชีวิตก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เอกกับตั้มนั้นสอบติดคณะวิศวกรรมโยธา ในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งแถวคลองหัวตะเข้ ส่วนผมอกหักจากสถาบันของรัฐทุกแห่ง อาจด้วยความเบื่อหน่ายการเรียนหนึ่ง และอาจด้วยอำนาจของวรรณกรรมแนวที่อ่านอีกหนึ่ง ผมตัดสินใจหยุดการเรียนไว้ชั่วคราวเพื่อทดลองค้นหาความหมายของชีวิต แต่ความหมายที่ว่า มันต้องควบคู่ไปกับการงานเลี้ยงปากท้อง ประจวบกับการแนะนำของรุ่นพี่ ผมได้งานเป็นโฟร์แมนควบคุมงานก่อสร้าง ในห้างสรรพสินค้าขึ้นใหม่แห่งหนึ่งแถบชายฝั่งตะวันออก แล้วชีวิตวัยหนุ่มก็ถูกเติมเต็มด้วยแสงแดด สายลม กลิ่นเค็ม เกลียวคลื่น และความท้าทายของการงาน มันทั้งรื่นรมย์ และขมขื่นไปพร้อมๆ กัน ผมเริ่มมองเห็นโลกความเป็นจริง มองเห็นสีเทาๆ ของวงการก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ เริ่มตั้งแต่การยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อยื่นแบบขออนุญาต ทั้งการฮั้วประมูล การลักไก่สเปกวัสดุก่อสร้าง การติดสินบนระหว่างผู้รับเหมากับ Project Manager และที่ผมเจอกับตัวเองจนทำให้ต่อมอุดมคติลีบฝ่อ เมื่อมีอยู่วันหนึ่ง หัวหน้างานวานให้ผมกับรุ่นพี่คอนเซาท์อีกคน ไปยื่นแบบประมูลโครงการก่อสร้างอีกแห่งของบริษัท ระหว่างทาง พบรถกระบะยกสูงขับเบียดตกไหล่ถนน ชายฉกรรจ์สองสามคนเดินลงจากรถด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ปืนในมือกับคำพูดนิ่งเรียบนั้น ผมฟังก็พอรู้ว่าสาระสำคัญคืออะไร ก่อนทั้งหมดจะเดินขึ้นรถ และขับห่างออกไป ผมเห็นสติกเกอร์โลโก้ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างคู่แข่ง ติดหลาอยู่ท้ายกระบะ ในที่สุดบริษัทก็พลาดงานชิ้นนั้น ด้วยเหตุผลว่าเราไปยื่นซองประมูลไม่ทัน

วันเวลา และภาวะของชีวิตเดินหน้าไปไม่หยุดหย่อน พร้อมๆ มันได้ฉีกถ่างเส้นทางของเราให้ห่างออกไปด้วย ผมเริ่มติดต่อกับเอก และตั้มน้อยครั้งลง ผ่านไปราวยี่สิบปีอย่างไม่รู้ตัว แล้วเวลาก็เหวี่ยงให้เราห่างหาย ทว่าในระหว่างนั้น ใช่ว่าการรับรู้ความเป็นไปของเพื่อนจะถูกปิดตาย เอกนั้นโผล่หน้าให้เห็นทางสื่ออยู่เป็นระยะ ทั้งสิ่งพิมพ์ และทีวี ในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หนุ่มไฟแรง

ส่วนตั้ม ผมได้ข่าวจากเพื่อนบางคน ว่าตำแหน่งหน้าที่ของเขาขณะนี้ เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายการโยธาธิการและผังเมือง พ่วงมากับกิตติศัพท์เรื่องการรับซองใต้โต๊ะอยู่เนืองๆ ไม่เว้นแม้เพื่อนพี่น้อง ซึ่งมันทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ

 

 

[3 มีนาคม 2567]

หลังกลับจากสักการะพระบรมสารีริกธาตุฯ ที่ท้องสนามหลวงเมื่อวาน และบังเอิญได้เห็นข่าวของเพื่อนกำลังเป็นเรื่องราวถูกฟ้องร้อง วันอาทิตย์แบบนี้ไม่เร่งร้อน แดดเช้ากำลังอุ่น ส่องลอดพุ่มมะม่วงสามฤดูลงมาตรงเทอเรสที่ประจำหน้าบ้านพอดี ผมใช้เวลาเอ้อระเหย และนั่งคิดอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับพวกเขา

ค่ำคืนในผับเพื่อชีวิตเมื่อสามปีที่ผ่านมา แม้จดจำรายละเอียดการสนทนากับทั้งสองคนได้ไม่มาก แต่ความรู้สึกหนึ่งซึ่งติดตรึงถึงวันนี้คือความประดักประเดิด คล้ายมีช่องว่างบางชนิดที่ไม่สามารถเชื่อมโยงเราเข้าหากันได้เหมือนเก่า ในสายตาพินิจพิเคราะห์ ผมมองไม่เห็นความเป็นเด็กหนุ่มช่างฝันคนนั้นอยู่ในตัวของเอก ใบหน้าสีชมพูอ้วนฉุ กับการวางท่าโอ่อ่าติดไปทางคับเบ่ง ไม่ส่อเค้าของผีทะเล หรือประเทือง เอมเจริญ อย่างในวันก่อนเก่า เสียงดังกังวานที่เปล่งระหว่างสนทนา แฝงไว้ด้วยความภาคภูมิ และมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่นั่นอาจเป็นบุกคลิกปกติ ในฐานะเจ้าของธุรกิจบริษัทรับเหมาก่อสร้างอันดับต้นๆ ของประเทศ

ส่วนตั้ม ตำแหน่งหน้าที่ของเขาในปัจจุบัน ได้ขยับขยายจากหัวหน้าฝ่าย ขึ้นเป็นผู้อำนวยการในสำนักงานเขตแห่งหนึ่งแถบภาคตะวันออก จากคนเคยเงียบขรึมสงบนิ่ง ถึงตอนนี้ เหมือนคำพูดคำจาจะฉะฉาน มีวาทศิลป์ และแฝงด้วยอำนาจบารมีอยู่ในนั้น ภายใต้แว่นตาหนาๆ ของเขา แวบหนึ่ง ผมแอบเห็นแววคมกริบของหมาป่า ที่คอยซุ่มโจมตีเหยื่ออย่างหิวกระหาย ผมเริ่มนึกไปถึงกิตติศัพท์ของตั้ม ที่เพื่อนบางคนเคยกระซิบบอก

ในค่ำคืนนั้น เอกและตั้มพูดคุยกันอย่างออกรส เหมือนสองคนสนิทสนมกันไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกเป็นส่วนเกิน ทั้งที่พวกเขาคอยคะยั้นคะยอ และพยายามทำให้ผมมีส่วนร่วมในการสนทนาอยู่ไม่ขาด ส่วนผมก็คอยแต่จะหันไปจดจ่อกับบทเพลงจากนักร้องบนเวที และแก้วตรงหน้า ครั้นราตรีเคลื่อนคล้อย และแอลกอฮอล์ในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ผมก็ถูกทิ้งไว้ในโลกใบเก่าเพียงลำพัง ประโยคสนทนาคำแล้วคำเล่าจากทั้งสอง ล่องลอยเคว้งคว้างอยู่เหนือหัวดุจห้วงจักรวาลไกลโพ้น เสียงหัวเราะหัวใคร่ กระหน่ำใส่รูหูอย่างไม่ขาดระยะ แต่ทั้งหมดใช่ว่าสติสัมปชัญญะจะบอดใบ้การรับรู้

พวกเขาคุยกันถึงโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่เอกเพิ่งตกลงเซ็นสัญญาเหมารวบหมด ทั้งงานออกแบบสถาปัตยกรรม วิศวกรรม รวมถึงงานรับเหมาก่อสร้าง ด้วยการเสนอเงินส่วนต่างเล็กๆ น้อยๆ ให้รัฐมนตรีท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แบบลับๆ ทั้งนี้ เพื่ออาศัยเส้นสายทางการเมืองเอื้อประโยชน์ซึ่งกัน พวกเขาคุยกันถึงเงินใต้โต๊ะที่ตั้มได้รับจากเอก ประหนึ่งเป็นน้ำใจจากเพื่อนให้เพื่อน นัยว่าหากเกิดความผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง เพื่อนอาจพอใช้อำนาจบารมีที่อยู่ในมือ ปัดเขี่ยความผิดพลาดนั้นทิ้งไปได้บ้าง พวกเขาหัวเราะเสียงดังจนแขกหลายโต๊ะเริ่มหันมอง และยิ่งมีคนหันมอง นั่นยิ่งคล้ายเชื้อไฟแห่งการโอ่อวดจะปะทุขึ้น คำว่าเงิน อำนาจ บารมี เส้นสาย และการฉ้อฉลเล็กๆ น้อยๆ ถูกพร่ำพูดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่ามันเป็นสิ่งสามัญธรรมดาที่มีแต่คนโง่เท่านั้นจะไม่ฉวยคว้า ผมได้แต่นิ่งเงียบ และอดทนอดกลั้นกับก้อนอารมณ์พิพักพิพ่วน ท่ามกลางสายตาสังเวชของผู้คนรอบข้าง และนักดนตรีบนเวที

หลังจากค่ำคืนนั้น ผมเริ่มไม่มั่นใจ ว่าเพื่อนทั้งสองยังมีห้วงสำนึกแห่งอุดมคติ หรือสิ่งซึ่งเราเคยต่อต้าน และรังเกียจเดียดฉันท์เหมือนเมื่อวัยหนุ่มอยู่กี่มากน้อย จนเมื่อวานได้เห็นข่าวคดีคอนโดฯ ที่กำลังเป็นเรื่องฟ้องร้องกันอยู่นี่เอง ผมจึงมั่นใจแล้วว่า ได้สูญเสียพวกเขาไปตลอดกาล

 

เมื่อย้อนมองอดีตถึงปัจจุบัน อดนึกเปรียบเทียบชีวิตตัวเอง กับเพื่อนทั้งสองไม่ได้ จากลูกจ้างในบริษัทวิศวกรรมแห่งหนึ่ง ผมไต่เต้าสูงสุดได้เพียงตำแหน่งคอนเซาท์ควบคุมงาน ต้องเจอแรงกดดันสารพัดรูปแบบ ทั้งเจ้าของโครงการ ทั้งผู้รับเหมา ทั้งซัพพลายเออร์ ทั้งบางไซต์งาน ยังเจอมาเฟียในพื้นที่ ฯลฯ แต่เรื่องแบบนี้คงไม่ใช่เฉพาะวงการก่อสร้าง บรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด นั้นมีอยู่ทุกวงการ หนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ เงินๆ ทองๆ เหตุผลนี้เองทำให้ผมเบื่อหน่ายจนตัดสินใจลาออก

ถึงวันนี้ หากใช้จำนวนเงินในบัญชีเป็นมุมมองความสำเร็จ ชีวิตผมคงล้มเหลว แต่กับความสุขนั้นคนละเรื่อง กวาดตาไปรอบตัว โรงแรมแมวเล็กๆ ตรงหน้า กับงานรับจ้างเขียนแบบ และงานเขียนหนังสืออย่างที่เคยฝันไว้ หากไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป เท่านี้ก็เพียงพอ สำหรับแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในบ้านให้กับภรรยา ซึ่งได้รับเงินจากอาชีพครูเพียงทางเดียว ทั้งมันยังเป็นผลพวงจากการเพาะบ่มของความรัก ผมได้พบความสุขในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเอง โดยไม่คิดกอบโกย หรือฉ้อโกงเอาจากใคร ถึงวัยนี้ แม้เสียงกู่ร้องของอุดมคติแบบคนหนุ่มจะแผ่วเบาลง แม้ท้องฟ้าสีทองจะไม่ผ่องอำไพเหมือนความใฝ่ฝันเมื่อวันก่อน แต่ผมพบว่า เรานั้นสามารถสร้างสังคมที่อยากอยู่อยากเป็นได้ ด้วยการเริ่มต้นจากเสียงเล็กๆ ภายในตัวเราเอง จากสิ่งถูกต้องดีงาม ทั้งระดับจิตสำนึก และการกระทำ

เงิน อำนาจ บารมี การเมือง สิ่งเหล่านี้แยกกันไม่ขาด มันวนเวียนเปลี่ยนผู้เล่น รูปแบบ และวิธีการไปตามยุคสมัย ผมนึกถึงการกระทำของเอกและตั้ม หากพูดกันอย่างไม่อ้อมค้อม มันก็คือการหักล้างทางอุดมคติอย่างที่พวกเขาเคยยึดถือ กับโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่ท่านรัฐมนตรีดำเนินการ นั่นเป็นอีกหนึ่งข้ออ้างเพื่อหวังส่วนต่างเงินทอน ซึ่งงบประมาณก็มาจากภาษีของประชาชนที่เลือกเขามาทั้งนั้น ทั้งการเบียดบังพื้นที่ทรัพยากรทางธรรมชาติอีกเรื่อง ไม่ว่ามองในแง่ไหน มันคือความอัปยศ ที่ผู้มีอำนาจกระทำมิชอบให้เห็นตำตา ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง มันพัวพัน และเชื่อมโยงถึงกันทั้งระบบ

นี่ไม่ใช่กรณีแรก สำหรับการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ต่อเรื่องนี้ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมก็พออุ่นใจได้บ้างว่า อย่างน้อยๆ ยังมีหน่วยงาน หรือเจ้าหน้าที่น้ำดี คอยเป็นหูเป็นตา และคอยปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน ไม่ให้เหล่าปลวกมอดกัดเซาะสังคมจนผุกร่อนล่มจม

ผมไม่รู้ว่าบุคคลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะไปสิ้นสุดคดีความลงตรงไหน ในความเป็นเพื่อน ผมแค่รู้สึกอยากให้เอก กับตั้ม หาเวลาทบทวน และรำลึกไปเมื่อครั้งเราเคยฝันถึงสังคมแห่งอุดมคติ

จังหวะหนึ่ง บังเอิญสายลมแปลกหน้าพัดผ่านมา เพียงเสี้ยววินาที คล้ายผมแว่วยินเพลงที่เราเคยเปล่งเสียงร้องร่วมกันจนคอขึ้นเอ็น

**…ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ

คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

แม้นผืนฟ้ามืดดับเดือนลับมลาย

ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน

ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง •

 

* ท่อนแรกของเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา / ** ท่อนจบของเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา / คำร้อง-ทำนอง โดย จิตร ภูมิศักดิ์