ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 กุมภาพันธ์ 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
วิศวกรรมเครื่องจักรการเกษตร
: ทางออกที่ยั่งยืน
ของปัญหาพีเอ็ม 2.5 จากการเผา
การเผาอ้อยเพื่อเตรียมการเก็บเกี่ยวเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดของประเทศไทย สร้างฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ สุขภาพของประชาชน และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าการเผาจะเป็นวิธีการที่สะดวกและต้นทุนต่ำ แต่ผลกระทบที่ตามมากลับส่งผลในระยะยาวต่อทั้งชุมชนและประเทศโดยรวม
ประเทศไทยในปี 2565/2566 มีพื้นที่ปลูกอ้อยรวม 11.39 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก 6.52 ล้านไร่ในปี 2551 จังหวัดสำคัญ เช่น กาญจนบุรี อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น เป็นศูนย์กลางการปลูกอ้อยของประเทศ แต่ก็กลายเป็นแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
ในกัมพูชา อุตสาหกรรมอ้อยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยผลผลิตอ้อยเพิ่มขึ้นจาก 385,238 ตันในปี 2551 เป็น 660,919 ตันในปี 2562 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมอ้อยในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม การเผาอ้อยยังคงมีบทบาทในกระบวนการผลิต ส่งผลให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน (Transboundary Haze) ซึ่งกระทบต่อคุณภาพอากาศของทั้งกัมพูชาและไทย
ทำไมต้องเผาอ้อย
และมีทางเลือกอะไรแทนได้?
ในห่วงโซ่การผลิตอ้อย การเผามีบทบาทสำคัญใน 3 ช่วงหลัก ได้แก่ :
– ก่อนเก็บเกี่ยว (Pre-Harvest) : ใบอ้อยถูกเผาเพื่อทำให้ลำต้นสะอาด ลดความหนาแน่นของเศษพืช และลดต้นทุนแรงงาน
– ระหว่างเก็บเกี่ยว (During Harvest) : การเผาช่วยให้แรงงานตัดอ้อยได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีใบเหนี่ยวรั้งลำต้น
– หลังเก็บเกี่ยว (Post-Harvest) : เศษซากพืชในพื้นที่ถูกเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกสำหรับฤดูกาลใหม่
แม้ว่าการเผาจะช่วยลดต้นทุนในระยะสั้น แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวแสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องหาทางเลือกอื่น ทางเลือกที่ยั่งยืน เช่น การนำเครื่องจักรการเกษตรเข้ามาใช้ แสดงให้เห็นศักยภาพในการลดการเผาและปรับปรุงผลผลิต :
1. เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด (Green Cane Harvester) : เครื่องจักรชนิดนี้ช่วยตัดอ้อยโดยไม่ต้องเผา เศษใบอ้อยสามารถนำไปใช้ในโรงงานพลังงานชีวมวลหรือใช้คลุมดินในแปลงปลูก
2. การไถกลบเศษซากพืช : เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยปรับปรุงคุณภาพดินในระยะยาว
3. เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) : การใช้โดรนและเซ็นเซอร์เพื่อติดตามสุขภาพพืชและจัดการเศษซากพืชอย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทาย
: ต้นทุนเครื่องจักร
และความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าเครื่องจักรการเกษตรจะมีศักยภาพสูงในการลดการเผา แต่ราคาที่สูงยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรรายย่อย เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด มีราคาประมาณ 6-7 ล้านบาทต่อคัน และสำหรับพื้นที่ปลูกขนาด 10,000 ไร่ จะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 100-140 ล้านบาท ซึ่งเกินความสามารถของเกษตรกรส่วนใหญ่
ด้วยเหตุนี้ การเผายังคงเป็นตัวเลือกที่ต้นทุนต่ำที่สุดในปัจจุบัน ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐและภาคเอกชน
บทเรียนจากออสเตรเลีย
: มาตรฐานที่ควรยึดถือ
อุตสาหกรรมอ้อยของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่าการเกษตรสามารถผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพการผลิตและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว
ในปี 2023 ออสเตรเลียผลิตอ้อยได้ 29.76 ล้านตัน จากพื้นที่เพาะปลูก 341,084 เฮกตาร์ คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 87 ตันต่อเฮกตาร์ สูงกว่าอัตราผลผลิตของไทยถึงสองเท่า
ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด ที่ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เศษใบอ้อยถูกนำไปใช้ผลิตพลังงานชีวมวลหรือเป็นวัสดุคลุมดิน
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เช่น โดรนและระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสุขภาพพืชและวางแผนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่า การลงทุนในเทคโนโลยีและการจัดการที่ยั่งยืนสามารถเพิ่มผลผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน
รัฐบาลไทย
: กุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอ้อย รัฐบาลต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น แนวทางที่ควรพิจารณา ได้แก่ :
– สนับสนุนการลงทุนในเครื่องจักร : จัดตั้งโครงการให้เช่าเครื่องจักร การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการพัฒนาเครื่องจักรที่เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย
– กำหนดแรงจูงใจและบทลงโทษที่ชัดเจน : สนับสนุนอ้อยที่ไม่ผ่านการเผา พร้อมบทลงโทษสำหรับการเผาในพื้นที่ที่กำหนด
– บูรณาการอาชีวศึกษา : ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบำรุงรักษาเครื่องจักรและพัฒนาแรงงานที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเกษตร
บทสรุป
: การเกษตรที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของไทย
การลดการเผาอ้อยไม่เพียงช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 แต่ยังเป็นโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม สนับสนุนเกษตรกร และส่งเสริมระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน จะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารและสร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก
ด้วยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในด้านการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นในยุคที่ความยั่งยืนเป็นหัวใจของความก้าวหน้า
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022