วิศวกรรมเครื่องจักรการเกษตร : ทางออกที่ยั่งยืน ของปัญหาพีเอ็ม 2.5 จากการเผา

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

 

วิศวกรรมเครื่องจักรการเกษตร

: ทางออกที่ยั่งยืน

ของปัญหาพีเอ็ม 2.5 จากการเผา

 

การเผาอ้อยเพื่อเตรียมการเก็บเกี่ยวเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงที่สุดของประเทศไทย สร้างฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ สุขภาพของประชาชน และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม

แม้ว่าการเผาจะเป็นวิธีการที่สะดวกและต้นทุนต่ำ แต่ผลกระทบที่ตามมากลับส่งผลในระยะยาวต่อทั้งชุมชนและประเทศโดยรวม

ประเทศไทยในปี 2565/2566 มีพื้นที่ปลูกอ้อยรวม 11.39 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก 6.52 ล้านไร่ในปี 2551 จังหวัดสำคัญ เช่น กาญจนบุรี อุดรธานี นครราชสีมา และขอนแก่น เป็นศูนย์กลางการปลูกอ้อยของประเทศ แต่ก็กลายเป็นแหล่งกำเนิดของมลพิษทางอากาศในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว

ในกัมพูชา อุตสาหกรรมอ้อยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยผลผลิตอ้อยเพิ่มขึ้นจาก 385,238 ตันในปี 2551 เป็น 660,919 ตันในปี 2562 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมอ้อยในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม การเผาอ้อยยังคงมีบทบาทในกระบวนการผลิต ส่งผลให้เกิดหมอกควันข้ามพรมแดน (Transboundary Haze) ซึ่งกระทบต่อคุณภาพอากาศของทั้งกัมพูชาและไทย

ทำไมต้องเผาอ้อย

และมีทางเลือกอะไรแทนได้?

ในห่วงโซ่การผลิตอ้อย การเผามีบทบาทสำคัญใน 3 ช่วงหลัก ได้แก่ :

– ก่อนเก็บเกี่ยว (Pre-Harvest) : ใบอ้อยถูกเผาเพื่อทำให้ลำต้นสะอาด ลดความหนาแน่นของเศษพืช และลดต้นทุนแรงงาน

– ระหว่างเก็บเกี่ยว (During Harvest) : การเผาช่วยให้แรงงานตัดอ้อยได้ง่ายขึ้น เพราะไม่มีใบเหนี่ยวรั้งลำต้น

– หลังเก็บเกี่ยว (Post-Harvest) : เศษซากพืชในพื้นที่ถูกเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกสำหรับฤดูกาลใหม่

แม้ว่าการเผาจะช่วยลดต้นทุนในระยะสั้น แต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวแสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องหาทางเลือกอื่น ทางเลือกที่ยั่งยืน เช่น การนำเครื่องจักรการเกษตรเข้ามาใช้ แสดงให้เห็นศักยภาพในการลดการเผาและปรับปรุงผลผลิต :

1. เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด (Green Cane Harvester) : เครื่องจักรชนิดนี้ช่วยตัดอ้อยโดยไม่ต้องเผา เศษใบอ้อยสามารถนำไปใช้ในโรงงานพลังงานชีวมวลหรือใช้คลุมดินในแปลงปลูก

2. การไถกลบเศษซากพืช : เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ลดการใช้ปุ๋ยเคมี และช่วยปรับปรุงคุณภาพดินในระยะยาว

3. เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) : การใช้โดรนและเซ็นเซอร์เพื่อติดตามสุขภาพพืชและจัดการเศษซากพืชอย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทาย

: ต้นทุนเครื่องจักร

และความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ

แม้ว่าเครื่องจักรการเกษตรจะมีศักยภาพสูงในการลดการเผา แต่ราคาที่สูงยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับเกษตรกรรายย่อย เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด มีราคาประมาณ 6-7 ล้านบาทต่อคัน และสำหรับพื้นที่ปลูกขนาด 10,000 ไร่ จะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 100-140 ล้านบาท ซึ่งเกินความสามารถของเกษตรกรส่วนใหญ่

ด้วยเหตุนี้ การเผายังคงเป็นตัวเลือกที่ต้นทุนต่ำที่สุดในปัจจุบัน ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐและภาคเอกชน

บทเรียนจากออสเตรเลีย

: มาตรฐานที่ควรยึดถือ

อุตสาหกรรมอ้อยของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่าการเกษตรสามารถผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพการผลิตและการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว

ในปี 2023 ออสเตรเลียผลิตอ้อยได้ 29.76 ล้านตัน จากพื้นที่เพาะปลูก 341,084 เฮกตาร์ คิดเป็นผลผลิตเฉลี่ย 87 ตันต่อเฮกตาร์ สูงกว่าอัตราผลผลิตของไทยถึงสองเท่า

ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการนำเทคโนโลยีเครื่องจักรมาใช้ในกระบวนการผลิต เช่น เครื่องเก็บเกี่ยวอ้อยแบบตัดสด ที่ช่วยลดการพึ่งพาแรงงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ เศษใบอ้อยถูกนำไปใช้ผลิตพลังงานชีวมวลหรือเป็นวัสดุคลุมดิน

นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เช่น โดรนและระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อตรวจสอบสุขภาพพืชและวางแผนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างของออสเตรเลียแสดงให้เห็นว่า การลงทุนในเทคโนโลยีและการจัดการที่ยั่งยืนสามารถเพิ่มผลผลิตและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้พร้อมกัน

รัฐบาลไทย

: กุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนแปลง

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอ้อย รัฐบาลต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเกษตรกรและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น แนวทางที่ควรพิจารณา ได้แก่ :

– สนับสนุนการลงทุนในเครื่องจักร : จัดตั้งโครงการให้เช่าเครื่องจักร การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือการพัฒนาเครื่องจักรที่เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อย

– กำหนดแรงจูงใจและบทลงโทษที่ชัดเจน : สนับสนุนอ้อยที่ไม่ผ่านการเผา พร้อมบทลงโทษสำหรับการเผาในพื้นที่ที่กำหนด

– บูรณาการอาชีวศึกษา : ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบำรุงรักษาเครื่องจักรและพัฒนาแรงงานที่สามารถรองรับเทคโนโลยีเกษตร

บทสรุป

: การเกษตรที่ยั่งยืนเพื่ออนาคตของไทย

การลดการเผาอ้อยไม่เพียงช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 แต่ยังเป็นโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมอ้อยไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม สนับสนุนเกษตรกร และส่งเสริมระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน จะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารและสร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก

ด้วยความมุ่งมั่นและการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในด้านการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นในยุคที่ความยั่งยืนเป็นหัวใจของความก้าวหน้า