อภิชาติพงศ์, Tilda และความอัศจรรย์ของภาพยนตร์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

อภิชาติพงศ์, Tilda

และความอัศจรรย์ของภาพยนตร์

 

ประเทศไทยมีเทศกาลศิลปะร่วมสมัย 3 อย่างที่ถ้าทำได้ผมไม่ต้องการจะพลาดเลย

หนึ่งคือ World Film Festival ซึ่งเป็นมรดกที่พี่วิคเตอร์ ศิลากอง ทิ้งไว้จนปัจจุบัน

สองคือ Thailand International Jazz Conference (TIJC) ที่มหิดลจัดสิบกว่าปีแล้ว

และสามคือ เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ (BEFF)

ความน่าทึ่งของเทศกาลศิลปะทั้งสามคือทั้งหมดล้วนทำโดยคนซึ่งรักศิลปะแขนงนั้นระดับพลีกาย และที่น่าทึ่งกว่านั้นคืองานเหล่านี้เกิดขึ้นโดยแทบไม่ได้ความสนับสนุนอะไรจากรัฐ แต่เทศกาลทั้งสามกลับเลี้ยงชีวิตตัวเองให้อยู่ได้จนประสบความสำเร็จในการสร้างชุมชนศิลปะแต่ละแขนงขึ้นมา

ล่าสุด เทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ ครั้งที่ 7 ก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่หลังการจัดงานครั้งสุดท้ายผ่านไปถึง 12 ปี และความยิ่งใหญ่ของงานปีนี้มีมากถึงขั้นใช้คำว่าเทศกาลหนัง BEFF ปีนี้กลายเป็นชุมทางของศิลปิน, คนทำงานศิลปะ และคนสนใจศิลปะร่วมสมัยแทบทุกแขนงในประเทศไทย

เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดว่าเทศกาลหนัง BEFF เป็นแค่งานฉายหนังอย่างเดียว ต้องระบุด้วยว่าเทศกาล “หนังทดลอง” กรณีนี้กินพรมแดนไปสู่ศิลปะแนวจัดวาง, ดนตรีทดลอง, Virtual Reality, อ่านบทกวี, แสดงหนังสดๆ ฯลฯ

จนอีกนิดเดียวก็อาจใช้คำว่านี่คือเทศกาลศิลปะแนวทดลองได้ด้วยซ้ำไป

ภาพจากเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7
ภาพโดย ธนพงศ์ เทพรักษ์

สําหรับคนที่ชอบบอกว่าหนังทดลองดูยากจนใครจะมาดู

ข้อมูลพื้นฐานที่ควรรู้คือการแสดงในงานนี้หลายรอบคนแน่นจนตั๋วเต็มหลังเปิดจองออนไลน์ไม่กี่นาที คำพูดว่างานแบบนี้ไม่มีใครดูจึงใช้ไม่ได้และไม่จริงเสมอไป ถึงเทศกาลนี้จะไม่ mass เท่าหลานม่าหรือธี่หยดภาค 55 ก็ตาม

ผมโชคดีที่ผู้จัดรู้ว่าผมหาตั๋วไม่ได้จนมีน้ำใจเชิญผมไปดูงานที่จริงๆ ผมทำใจแล้วว่าจะไม่ได้ดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเปิดเทศกาลกับการแสดงชื่อ ‘บทสนทนา : ภาพสุดท้ายคล้ายหนัง’ ซึ่งเป็นผลงานร่วมกันของ Tilda Swinton และอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่คนอยากดูมีมหาศาลกว่าคนได้ดู

แน่นอนว่าอภิชาติพงศ์ในฐานะผู้กำกับรางวัลเมืองคานส์เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดคนโดยไม่ต้องพูดอะไร

ยิ่งเมื่ออภิชาติพงศ์ทำงานกับ Tilda ที่นิวยอร์กไทม์สยกย่องเป็น 1 ใน 25 ยอดนักแสดงในศตวรรษที่ 21 ผลที่ได้คือการแสดงแทบขึ้นแท่นเป็นมาฆบูชาของคนทำงานศิลปะร่วมสมัยหลายแขนงในไทย

เพื่อให้เห็นภาพขึ้น นี่คือการแสดงที่มีผู้ชมอย่างฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช, กมล เผ่าสวัสดิ์, สมยศ หาญอนันตสุข, ชาติชาย เกษนัส, ออกแบบ ชุติมณฑ์, เอม ภูมิภัทร, อัด อวัช, นิพันธ์ โอฬารนิเวศน์, ศิวโรจน์ คงสกุล, ประพัทธ์ จิวะรังสรรค์ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นคนทำงานแบบ Cutting Edge ในสายงานตัวเอง

ภาพจากเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพฯ ครั้งที่ 7
ภาพโดย ธนพงศ์ เทพรักษ์

ความโดดเด่นของ ‘บทสนทนา : ภาพสุดท้ายคล้ายหนัง’ หรือที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า An Encounter : The Last Thing You Saw That Felt Like a Movie คือการไม่สามารถจัดประเภทได้ว่าเป็นงานอะไร

แต่ความไม่สามารถจัดประเภทได้นั้นทำให้ผู้ชมมีอิสระในการ Encounter กับงานนี้อย่างเพลิดเพลิน

ชื่อของนักแสดงอย่าง Tilda และผู้กำกับอย่างอภิชาติพงศ์นั้นยั่วยุให้ผู้ชมคิดว่าคงได้ดูหนัง หรืออย่างน้อยที่สุดก็คืออะไรบางอย่างคล้ายชมภาพยนตร์

แต่ ‘ภาพสุดท้ายคล้ายหนัง’ มีทั้งองค์ประกอบที่เป็นภาพยนตร์, เป็น Performance Art, เป็นการถ่ายหนัง และเป็นการนั่งดูเขาถ่ายหนังไปพร้อมกัน

หนังทดลองคือการพาหนังและคนดูหนังไปยังพรมแดนแห่งความไม่รู้, คาดเดาไม่ได้ และไม่คุ้นเคย

หัวใจของงานแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องสุดเพี้ยนหรือพล็อตที่คาดเดาไม่ได้ แต่คือการให้ประสบการณ์กับผู้ชมว่าความไม่รู้คือเส้นทางที่มีจุดจบทั้งความดักดานหรือทางเลือก ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับผู้ชมเอง

อย่างไรก็ดี งานชิ้นนี้ไม่ใช่หนัง แต่คือกระบวนการซึ่งหนัง, นักแสดง, ผู้กำกับ, พื้นที่ และผู้ชมร่วมกันสร้างประสบการณ์จากการเผชิญหน้ากับอภิชาติพงศ์และ Tilda ที่สร้างความเงียบให้ผู้ชมอยู่กับความนิ่ง (Stillness) จนเกิดห้วงภวังค์ซึ่งเวลาเนิบช้าแทบเป็นนิรันดรกาล (Imaging Eternity)

 

เมื่อผู้ชมเข้าสู่พื้นที่การแสดง สิ่งแรกที่ผู้ชมทุกคนจะเห็นหลังเผชิญความมืดและความเงียบคือ Tilda Swinton ทำ Performative Art บนเวทีคล้ายแท่นสูงระดับแหงนคอตั้งบ่า แต่สิ่งที่ Tilda แสดงคือการนอนที่เนิบช้าจนตื่นที่เนิบช้ายิ่งขึ้นโดยมีอภิชาติพงศ์ถ่ายพร้อมกำกับกล้องอีกสองตัว

เพื่อนที่ผมนับถืออย่าง “ก้อง ฤทธิ์ดี” เคยบอกที่ไหนสักแห่งว่าสำหรับคนรักหนังแล้ว หนังคือศาสนา ส่วนโรงหนังคือวิหาร และผมคิดว่าสิ่งที่อภิชาติพงศ์กับ Tilda ทำในงานนี้คือคำประกาศนี้อย่างแนบเนียนที่องค์ประกอบทั้งหมดราวศาสนพิธีในวิหารศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหนังคือพระเจ้าองค์เดียว

ทันทีที่ผู้ชมเข้าสู่พื้นที่การแสดง สิ่งที่ผู้ชมต้องตัดสินใจเลือกอะไรคือ Subject ของงาน และอะไรคือสิ่งที่ผู้ชมควรเลือกดูระหว่างการนอนของ Tilda, การถ่ายหนังของอภิชาติพงศ์, ภาพจากกล้อง 1 และ 2 ซึ่งฉายบนสามจอที่ตั้งคนละมุม หรือภาพจากฟุตเทจหนังไทยรุ่นเก่าที่สลับไปมาตลอดเวลา

ไม่มีตรงไหนในงานที่อภิชาติพงศ์และ Tilda ที่บอกใบ้ว่า Subject ของงานคืออะไร ผู้ชมจึงต้องตัดสินใจเองว่าวินาทีไหนจะดูอะไรในภาพเคลื่อนไหวที่มีพร้อมกันอย่างน้อย 5 จุด และนั่นเท่ากับผู้ชมแต่ละคนคือคนที่ประกอบสร้างเรื่องราวในงานแสดงโดยจับต้นชนปลายด้วยตัวเองโดยสมบูรณ์

งานแสดงชิ้นนี้จัดประเภทไม่ได้จนไม่รู้ว่าจะสรุปว่างาน “เล่าเรื่อง” อะไร ทั้งหมดนี้ไม่ใช่งานไม่มีเรื่อง แต่เรื่องที่ผู้ชมแต่ละคนสร้างมาจาก “บทสนทนา” ที่ผู้ชมเลือกดู (Gaze) แต่ละวินาทีและปะติดปะต่อเรื่องราวตามใจชอบจนเป็นไปได้ร้อยแปดและไม่มี “เรื่องเล่า” ที่ทุกคนจะมีเหมือนกันได้เลย

เมื่อพูดว่าผู้ชมเลือกดูอย่างหนึ่งอย่างใด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผู้ชมไม่ได้ดูอย่างอื่นไปอีกมหาศาล แกนกลางของงานทั้งหมดจึงไม่ได้เป็นการเล่าเรื่อง (Storytelling) แต่เป็นการเฉลิมฉลองอำนาจของการมองที่ผู้ชมแต่ละคนเป็นผู้ลิขิตเองจนอำนาจของผู้กำกับและนักแสดงเหลือต่ำสุดเท่าที่จะทำได้จริงๆ

 

ถ้าภาพยนตร์เป็นผลผลิตจากการที่ผู้กำกับภาพยนตร์ “กำกับ” คนดู งานของอภิชาติพงศ์และ Tilda กลับตาลปัตรความสัมพันธ์นี้จนถึงที่สุด และขณะเดียวกันก็หมายความว่างานแสดงนี้คืนอำนาจการดูให้ผู้ชมจนถึงจุดที่ฉากจบที่ทั้ง Tilda ตื่นแล้วสบตาผู้ชมจนการแสดงทั้งหมดปิดฉากลง

โครงเรื่องที่ง่ายที่สุดของงานแสดงคืออภิชาติพงศ์และ Tilda พูดเรื่องความฝัน, การหลับ และการตื่น คลิปหนังไทยรุ่นเก่าสะท้อนความคารวะต่อหอจดหมายเหตุภาพยนตร์ (Film Archive) และภาพจากภาพยนตร์ (Cinematic Image) สร้างภาพความฝันให้เราเห็น (The Visualization of Dream) อย่างไร

งานแสดงนี้พาผู้ชมตะลุยผ่านความเงียบและความนิ่งไปจบด้วยคำถามเชิงปรัชญา พลังของงานจึงพาผู้ชมจากพรมแดนของภาพยนตร์ไปสู่ประสบการณ์ใหม่และคำถามใหม่ที่เลยเรื่องภาพยนตร์ไปเยอะ และทั้งหมดนี้คือพลังของงานทดลองที่ชวนให้ผู้ชมคิดถึงเรื่องที่ปกติคิดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว