ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
มายาคติของ Non-Partisan
(ความไม่เป็นพรรคเป็นพวก)
ในสถาบันการเมือง
มองผ่านความมุ่งมั่นทางการเมือง
การยึดโยงมวลชน และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ
ในประสบการณ์ของผมในการผลักดันประเด็นต่างๆ เบื้องแรกในฐานะนักวิชาการ ผู้คนส่วนหนึ่งอาจคาดหวังว่า เราจำเป็นต้องเสนออย่างเป็นกลางโดยไม่แสดงความฝักใฝ่หรือเลือกข้างทางการเมือง
แม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตคน ก็มีผู้คนคาดหวังว่าอย่าทำอะไรที่เข้าทาง “ฝ่ายการเมือง”
ในช่วงหลังเมื่อมีโอกาสผลักดันประเด็นต่างๆ ในบทบาทที่แตกต่างไป เช่น องค์กรที่มีลักษณะไตรภาคี ที่เป็นตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ ก็ยังคงมีความคาดหวังในลักษณะ Non-Partisan หรือความไม่เป็นพรรคเป็นพวกทางการเมือง
แม้คำวิจารณ์เหล่านี้จะไม่มีผลต่อผมแต่อย่างใด เพราะข้อเท็จจริงมนุษย์ล้วนไม่เป็นอิสระทางการเมือง
มนุษย์ล้วนผลักดันทุกอย่างผ่านอุดมการณ์ คติทางการเมือง ตลอดจนความเชื่อของกลุ่มก้อนที่สัมพันธ์กัน
ในแง่นี้ “การบอกถึงความเป็นกลาง” ย่อมไม่ได้หมายถึงความเป็นกลางแต่คือการสยบยอมต่อผู้มีอำนาจในขณะนั้น โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมของสถาบันทางการเมือง
การถกเถียงเรื่อง “ความเป็นกลางทางการเมือง” หรือ Non-Partisan กลายเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถาบันที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐมักจะใช้วาทกรรม “ความเป็นกลาง” เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการทำหน้าที่ของตน
ดังจะเห็นได้จากการที่องค์กรอิสระหลายแห่งมักอ้างความเป็นกลางเพื่อไม่เข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ
การทำความเข้าใจมายาคติของความเป็นกลางทางการเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย
มายาคติของความเป็นกลาง
Chantal Mouffe นักทฤษฎีการเมืองชาวเบลเยียม ได้วิพากษ์แนวคิดประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือของ J?rgen Habermas ที่เน้นการหาฉันทามติผ่านการใช้เหตุผลอย่างเป็นกลาง
เธอชี้ให้เห็นว่าการเมืองโดยธรรมชาติแล้วคือการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์และอุดมการณ์ที่แตกต่าง สะท้อนให้เห็นชัดในกรณีองค์กรอิสระในบางประเทศที่มักอ้างความเป็นกลางในการวินิจฉัยคดีการเมือง
แต่ในความเป็นจริงกลับมีคำวินิจฉัยที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งบางครั้งนำมาสู่การยุบพรรคการเมือง และสร้างผลทางการเมืองที่เอื้อต่อฝั่งอนุรักษนิยม ที่ไม่ดำเนินการใดๆ กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน
ความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Commitment)
Antonio Gramsci เสนอว่า ปัญญาชนและสถาบันทางการเมืองต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมืองในการเปลี่ยนแปลงสังคม
ตัวอย่างที่น่าสนใจในบริบทไทยคือการทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดแรกๆ ที่กล้าท้าทายอำนาจรัฐ เช่น กรณีการตรวจสอบเหตุการณ์ตากใบและกรือเซะในปี 2547
ซึ่งแตกต่างจากการทำงานในยุคหลังที่มักอ้างความเป็นกลาง
และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ
การยึดโยงกับมวลชน (Engagement with Multitude)
Michael Hardt และ Antonio Negri เสนอแนวคิดเรื่อง “มวลชนมหาศาล” (Multitude) ที่มองว่าพลังทางการเมืองในยุคปัจจุบันมีความหลากหลายและไม่จำเป็นต้องเป็นเอกภาพ
ในบริบทไทย เราเห็นความสำคัญของแนวคิดนี้ผ่านการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาในปี 2563-2564 ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ข้อเรียกร้องและรูปแบบการชุมนุม
แต่น่าเสียดายที่สถาบันทางการเมืองส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะ “เป็นกลาง” และปฏิเสธการรับฟังข้อเรียกร้องของมวลชน ทำให้พลังการเปลี่ยนแปลงถูกจำกัด
และทำให้กระแสทางการเมืองต่างๆ ถูกจำกัดการเปลี่ยนแปลงในทางก้าวหน้า
ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ (Public Accountability)
Pierre Rosanvallon นำเสนอแนวคิด “การเฝ้าระวังประชาธิปไตย” ที่เน้นความสำคัญของการตรวจสอบอำนาจโดยประชาชน
แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นชัดในกรณีการเคลื่อนไหวของประชาชนฝรั่งเศสในช่วงปี 2018-2019 ผ่านขบวนการ Gilets Jaunes (กลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง) ที่ท้าทายความชอบธรรมของสถาบันทางการเมืองที่อ้างความเป็นกลาง โดยเฉพาะสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส (CESE) ที่ถูกวิพากษ์ว่าใช้ความเป็นกลางเป็นข้ออ้างในการสนับสนุนนโยบายเสรีนิยมใหม่ของรัฐบาล
นอกจากนี้ กรณีการเคลื่อนไหวของ Occupy Wall Street ในสหรัฐอเมริกาก็สะท้อนแนวคิดของ Rosanvallon เกี่ยวกับ Counter-Democracy ที่ประชาชนต้องมีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลนอกระบบการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะการวิพากษ์บทบาทของ Federal Reserve ที่อ้างความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองในการดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อวอลล์สตรีต
เมื่อพิจารณาถึงส่วนนี้เราจะพบว่า การนำเสนอเรื่อง “การไม่เป็นพรรคเป็นพวกทางการเมือง” ในสถาบันการเมืองต่างๆ ในบริบทที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย บ่อยครั้งเป็นเพียงการธำรงไว้ซึ่งโครงสร้างอยุติธรรมที่มีมา และสร้างความชอบธรรมให้สิ่งนี้คงอยู่ต่อไป
วาทกรรม “ความเป็นกลาง” ในสังคมไทยไม่ใช่เพียงมายาคติ แต่เป็นเครื่องมือในการรักษาโครงสร้างอำนาจนำ (hegemony) ของชนชั้นนำ
สถาบันทางการเมืองที่อ้างความเป็นกลางกำลังทำหน้าที่เป็นกลไกในการผลิตซ้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
การรื้อถอนมายาคติของความเป็นกลางจึงไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนวิธีคิด แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม
สถาบันทางการเมืองต้องเลือกข้าง – ระหว่างการเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำหรือการยืนเคียงข้างประชาชน ระหว่างการรักษาสถานะเดิมหรือการต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง
การยึดโยงกับมวลชนและการยอมรับการตรวจสอบจากสาธารณะไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขจำเป็นของการดำรงอยู่ของสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022