มายาคติของ Non-Partisan (ความไม่เป็นพรรคเป็นพวก) ในสถาบันการเมือง มองผ่านความมุ่งมั่นทางการเมือง การยึดโยงมวลชน และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

ฝนไม่ถึงดิน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

 

มายาคติของ Non-Partisan

(ความไม่เป็นพรรคเป็นพวก)

ในสถาบันการเมือง

มองผ่านความมุ่งมั่นทางการเมือง

การยึดโยงมวลชน และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ

 

ในประสบการณ์ของผมในการผลักดันประเด็นต่างๆ เบื้องแรกในฐานะนักวิชาการ ผู้คนส่วนหนึ่งอาจคาดหวังว่า เราจำเป็นต้องเสนออย่างเป็นกลางโดยไม่แสดงความฝักใฝ่หรือเลือกข้างทางการเมือง

แม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตคน ก็มีผู้คนคาดหวังว่าอย่าทำอะไรที่เข้าทาง “ฝ่ายการเมือง”

ในช่วงหลังเมื่อมีโอกาสผลักดันประเด็นต่างๆ ในบทบาทที่แตกต่างไป เช่น องค์กรที่มีลักษณะไตรภาคี ที่เป็นตัวแทนของภาคส่วนต่างๆ ก็ยังคงมีความคาดหวังในลักษณะ Non-Partisan หรือความไม่เป็นพรรคเป็นพวกทางการเมือง

แม้คำวิจารณ์เหล่านี้จะไม่มีผลต่อผมแต่อย่างใด เพราะข้อเท็จจริงมนุษย์ล้วนไม่เป็นอิสระทางการเมือง

มนุษย์ล้วนผลักดันทุกอย่างผ่านอุดมการณ์ คติทางการเมือง ตลอดจนความเชื่อของกลุ่มก้อนที่สัมพันธ์กัน

ในแง่นี้ “การบอกถึงความเป็นกลาง” ย่อมไม่ได้หมายถึงความเป็นกลางแต่คือการสยบยอมต่อผู้มีอำนาจในขณะนั้น โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมของสถาบันทางการเมือง

การถกเถียงเรื่อง “ความเป็นกลางทางการเมือง” หรือ Non-Partisan กลายเป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถาบันที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐมักจะใช้วาทกรรม “ความเป็นกลาง” เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการทำหน้าที่ของตน

ดังจะเห็นได้จากการที่องค์กรอิสระหลายแห่งมักอ้างความเป็นกลางเพื่อไม่เข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ

การทำความเข้าใจมายาคติของความเป็นกลางทางการเมืองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในสังคมไทย

 

มายาคติของความเป็นกลาง

Chantal Mouffe นักทฤษฎีการเมืองชาวเบลเยียม ได้วิพากษ์แนวคิดประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือของ J?rgen Habermas ที่เน้นการหาฉันทามติผ่านการใช้เหตุผลอย่างเป็นกลาง

เธอชี้ให้เห็นว่าการเมืองโดยธรรมชาติแล้วคือการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์และอุดมการณ์ที่แตกต่าง สะท้อนให้เห็นชัดในกรณีองค์กรอิสระในบางประเทศที่มักอ้างความเป็นกลางในการวินิจฉัยคดีการเมือง

แต่ในความเป็นจริงกลับมีคำวินิจฉัยที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งบางครั้งนำมาสู่การยุบพรรคการเมือง และสร้างผลทางการเมืองที่เอื้อต่อฝั่งอนุรักษนิยม ที่ไม่ดำเนินการใดๆ กับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน

ความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Commitment)

Antonio Gramsci เสนอว่า ปัญญาชนและสถาบันทางการเมืองต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมืองในการเปลี่ยนแปลงสังคม

ตัวอย่างที่น่าสนใจในบริบทไทยคือการทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดแรกๆ ที่กล้าท้าทายอำนาจรัฐ เช่น กรณีการตรวจสอบเหตุการณ์ตากใบและกรือเซะในปี 2547

ซึ่งแตกต่างจากการทำงานในยุคหลังที่มักอ้างความเป็นกลาง

และหลีกเลี่ยงการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐ

การยึดโยงกับมวลชน (Engagement with Multitude)

Michael Hardt และ Antonio Negri เสนอแนวคิดเรื่อง “มวลชนมหาศาล” (Multitude) ที่มองว่าพลังทางการเมืองในยุคปัจจุบันมีความหลากหลายและไม่จำเป็นต้องเป็นเอกภาพ

ในบริบทไทย เราเห็นความสำคัญของแนวคิดนี้ผ่านการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาในปี 2563-2564 ที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ข้อเรียกร้องและรูปแบบการชุมนุม

แต่น่าเสียดายที่สถาบันทางการเมืองส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะ “เป็นกลาง” และปฏิเสธการรับฟังข้อเรียกร้องของมวลชน ทำให้พลังการเปลี่ยนแปลงถูกจำกัด

และทำให้กระแสทางการเมืองต่างๆ ถูกจำกัดการเปลี่ยนแปลงในทางก้าวหน้า

ความรับผิดชอบต่อสาธารณะ (Public Accountability)

Pierre Rosanvallon นำเสนอแนวคิด “การเฝ้าระวังประชาธิปไตย” ที่เน้นความสำคัญของการตรวจสอบอำนาจโดยประชาชน

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นชัดในกรณีการเคลื่อนไหวของประชาชนฝรั่งเศสในช่วงปี 2018-2019 ผ่านขบวนการ Gilets Jaunes (กลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง) ที่ท้าทายความชอบธรรมของสถาบันทางการเมืองที่อ้างความเป็นกลาง โดยเฉพาะสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส (CESE) ที่ถูกวิพากษ์ว่าใช้ความเป็นกลางเป็นข้ออ้างในการสนับสนุนนโยบายเสรีนิยมใหม่ของรัฐบาล

นอกจากนี้ กรณีการเคลื่อนไหวของ Occupy Wall Street ในสหรัฐอเมริกาก็สะท้อนแนวคิดของ Rosanvallon เกี่ยวกับ Counter-Democracy ที่ประชาชนต้องมีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลนอกระบบการเลือกตั้ง

โดยเฉพาะการวิพากษ์บทบาทของ Federal Reserve ที่อ้างความเป็นอิสระและความเป็นกลางทางการเมืองในการดำเนินนโยบายการเงินที่เอื้อประโยชน์ต่อวอลล์สตรีต

 

เมื่อพิจารณาถึงส่วนนี้เราจะพบว่า การนำเสนอเรื่อง “การไม่เป็นพรรคเป็นพวกทางการเมือง” ในสถาบันการเมืองต่างๆ ในบริบทที่เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย บ่อยครั้งเป็นเพียงการธำรงไว้ซึ่งโครงสร้างอยุติธรรมที่มีมา และสร้างความชอบธรรมให้สิ่งนี้คงอยู่ต่อไป

วาทกรรม “ความเป็นกลาง” ในสังคมไทยไม่ใช่เพียงมายาคติ แต่เป็นเครื่องมือในการรักษาโครงสร้างอำนาจนำ (hegemony) ของชนชั้นนำ

สถาบันทางการเมืองที่อ้างความเป็นกลางกำลังทำหน้าที่เป็นกลไกในการผลิตซ้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

การรื้อถอนมายาคติของความเป็นกลางจึงไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนวิธีคิด แต่เป็นการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม

สถาบันทางการเมืองต้องเลือกข้าง – ระหว่างการเป็นเครื่องมือของชนชั้นนำหรือการยืนเคียงข้างประชาชน ระหว่างการรักษาสถานะเดิมหรือการต่อสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง

การยึดโยงกับมวลชนและการยอมรับการตรวจสอบจากสาธารณะไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขจำเป็นของการดำรงอยู่ของสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย