ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
สิงคโปร์ แก้ปัญหาฝุ่นข้ามชาติ
จากเพื่อนบ้านในอาเซียนได้อย่างไร?
บทเรียนของไทยในปี 2568
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนที่เกิดจากการเผาป่าเพื่อการเกษตรในอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การเผาป่าเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและไม้เยื่อกระดาษกลายเป็นแหล่งมลพิษหลักที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ความสำเร็จของสิงคโปร์ในการจัดการปัญหาฝุ่นข้ามชาติ
กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญที่สามารถนำมาปรับใช้ในบริบทของประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่รุนแรงมากขึ้นในปี 2568
ต้นตอของปัญหา
: วิทยาศาสตร์ของการเผาป่าและมลพิษข้ามชาติ
การเผาป่าในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะพื้นที่ป่าพรุ (peatlands) เป็นแหล่งปล่อย PM 2.5 และก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล
งานวิจัยโดย Page et al. (2002) ชี้ให้เห็นว่าป่าพรุที่เผาไหม้สามารถปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในระดับที่เทียบเท่ากับการปล่อยจากอุตสาหกรรมในบางประเทศ
การเผาป่าพรุเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน เนื่องจากซากพืชในชั้นพรุสามารถเผาไหม้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันหรือสัปดาห์ แม้ว่าไฟจะดับไปแล้วบนพื้นผิวก็ตาม
ในปี 1997 วิกฤตหมอกควันครั้งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ในบางพื้นที่ของสิงคโปร์พุ่งสูงถึง 400-500 ?g/m? ซึ่งเป็นระดับ “อันตราย” ต่อสุขภาพ (AQI > 400)
ผลกระทบต่อสุขภาพได้แก่โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และหลอดเลือด
นอกจากนี้ รายงานจาก World Bank ในปี 1998 ระบุว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากหมอกควันในปี 1997 สูงถึง 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
การผ่านกฎหมาย ASEAN Agreement
และการสร้างกลไกระดับภูมิภาค
ในปี 2002 ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามใน ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution เพื่อจัดการกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดน
ข้อตกลงนี้เน้นการสร้างกรอบความร่วมมือในด้านการป้องกันและควบคุมไฟป่า รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ คือ การที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศต้นตอของปัญหา ไม่ได้ให้สัตยาบันในข้อตกลงจนกระทั่งปี 2014
ในช่วงเวลานั้น สิงคโปร์และมาเลเซียได้ผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยี เช่น ดาวเทียม MODIS และ แบบจำลอง GEOS-Chem เพื่อวิเคราะห์จุดเผาไหม้ (fire hotspots) และติดตามการกระจายตัวของ PM 2.5
ข้อมูลจาก ASEAN Specialised Meteorological Centre (ASMC) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหา
จุดเปลี่ยนในปี 2013
: การผ่านกฎหมาย
Transboundary Haze Pollution Act
วิกฤตหมอกควันในปี 2013 ซึ่งเกิดจากการเผาป่าในเกาะสุมาตรา ทำให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ในสิงคโปร์พุ่งสูงถึง 401 ?g/m? รัฐบาลสิงคโปร์ตอบสนองต่อวิกฤตินี้ด้วยการผ่าน Transboundary Haze Pollution Act (THPA) ในปี 2014 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับใช้กับบริษัทข้ามชาติแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งอยู่ในสิงคโปร์
กลไกของ THPA ในการควบคุมบริษัทข้ามชาติ
1. การบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดน
THPA ให้อำนาจรัฐบาลสิงคโปร์ดำเนินคดีทางกฎหมายกับบริษัทที่ก่อให้เกิดมลพิษในต่างประเทศ หากหมอกควันจากการกระทำของบริษัทนั้นส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์ บทลงโทษสูงสุดรวมถึงค่าปรับถึง 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
2. การใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม
รัฐบาลสิงคโปร์ทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับภูมิภาค เช่น ASMC เพื่อวิเคราะห์จุดเผาไหม้ในพื้นที่ป่าพรุและติดตามการเคลื่อนที่ของหมอกควัน เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ระบุได้ว่าบริษัทใดเป็นผู้กระทำผิด
3. การเปิดเผยชื่อบริษัท
THPA มีมาตรการ “Name-and-Shame” ที่เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเผาป่าต่อสาธารณะ เช่น Asia Pulp and Paper (APP) และ Wilmar International สิ่งนี้สร้างแรงกดดันทางสังคมและการค้าต่อบริษัทเหล่านี้
4. การสนับสนุนวิธีการเกษตรที่ยั่งยืน
บริษัทที่ดำเนินการในอินโดนีเซียเริ่มลงทุนในโครงการเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
เช่น การใช้ปุ๋ยชีวภาพและเครื่องจักรแทนการเผาป่า
ความพยายามของอินโดนีเซีย
ในการฟื้นฟูป่าพรุ
หลังจากเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ในปี 2015 ซึ่งพื้นที่กว่า 2.6 ล้านเฮกตาร์ ถูกเผาทำลาย
ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด (Joko Widodo) ได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุอย่างจริงจัง
โดยตั้งหน่วยงาน Peatland Restoration Agency (BRG) ในปี 2016 เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุที่เสื่อมโทรม
งานวิจัยในปี 2017 พบว่าการฟื้นฟูพื้นที่พรุช่วยลดโอกาสการเกิดไฟป่าได้ถึง 50% ในพื้นที่ที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม
บทเรียนสำคัญ
สำหรับประเทศไทยในปี 2568
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือ มีลักษณะคล้ายคลึงกับปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนในอาเซียน ไทยสามารถนำบทเรียนจากสิงคโปร์และอินโดนีเซียมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาได้ดังนี้ :
1. การออกกฎหมายคล้าย THPA
ไทยควรพัฒนากฎหมายที่สามารถควบคุมบริษัทที่ก่อให้เกิดมลพิษข้ามพรมแดน และกำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน เช่น การปรับเงินหรือการระงับสิทธิในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
2. การนำข้อมูล hotspot มาวิเคราะห์ บูรณาการ
ไทยควรลงทุนในเทคโนโลยีการติดตามจุดเผาไหม้ เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ทำ ร่วมกับการใช้แบบจำลองการกระจายตัวของ PM 2.5 มีความแม่นยำจับให้ได้ว่าพื้นที่ที่ไหม้นั้นเป็นของใคร บริษัทอะไร ตามตัวได้ถูก เพื่อคาดการณ์ผลกระทบและจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาค
ไทยควรใช้กรอบความร่วมมือของอาเซียน เช่น ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution เพื่อประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาและลาว ในการลดจุดเผาไหม้บริเวณชายแดน ผลักดันกับทุกประเทศให้เครื่องตรวจมาตรฐานเดียวกัน
4. การสนับสนุนเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
ไทยควรให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยวแทนการเผา รวมถึงการให้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุนเงินช่วยเหลือหรือการลดภาษี
5. การฟื้นฟูพื้นที่เสี่ยงที่ไหม้ทุกปี
ไทยสามารถดำเนินโครงการนำร่องในการฟื้นฟูพื้นที่ป่าพรุหรือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมในภาคเหนือ เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่าในระยะยาว
การจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนของสิงคโปร์ผ่าน Transboundary Haze Pollution Act และความพยายามฟื้นฟูป่าพรุในอินโดนีเซียเป็นตัวอย่างที่สำคัญของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อน
ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการใช้กฎหมาย เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศสามารถลดผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากประเทศไทยสามารถนำบทเรียนนี้มาปรับใช้ในปี 2568 จะช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
เพราะภัยฝุ่น คร่าชีวิตคนได้ ไม่รู้เขตแดน…
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022