‘จักรพรรดิทรัมป์’ กับอาการ ‘บ้าก็บ้าวะ!’

สุทธิชัย หยุ่น

กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น

 

‘จักรพรรดิทรัมป์’

กับอาการ ‘บ้าก็บ้าวะ!’

 

โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะสถาปนาตัวเองเป็น “จักรพรรดิ” แห่งยุคดิจิทัล

เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็น “แม่แบบแห่งประชาธิปไตย”

น่าเชื่อได้ว่าลึกๆ แล้วประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐวัย 78 คนนี้มีความอิจฉาผู้นำจีนอย่างสี จิ้นผิง หรือประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และท่านประธานคิม จองอึน ของเกาหลีเหนืออย่างมาก

ทรัมป์เคยเปิดใจว่าเขาอยากจะปกครองประเทศที่ประชาชนยอมทำตามทุกอย่างที่ผู้นำสั่งการอย่างสามประเทศนี้

ทรัมป์จึงขอเป็น “เผด็จการ” สัก 24 ชั่วโมงแรกของการเข้ามานั่งทำเนียบขาวอีกรอบหนึ่ง

วันนี้ ทรัมป์สำแดงความเป็น “ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ” อย่างสนุกสนาน

ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คนที่พบเห็น

เพราะเขาสั่งการในทำเนียบขาวไม่พอ พรรครีพับลิกันของเขายังครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

อีกทั้งเขายังสามารถตั้งผู้พิพากษาในศาลสูงสุดอีกจำนวนหนึ่ง

จึงมีบารมีเหนือทั้ง 3 อำนาจของประเทศค่อนข้างครบครัน

 

ตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคมเป็นต้นมา ทรัมป์ก็อาละวาดไปทั่วโลก

ใครในประเทศไทยต้องการจะวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อตั้งรับทรัมป์ต้องศึกษารายละเอียดของวิธีการของเขาให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือวิธีการที่ทรัมป์ต่อรองเจรจาเพื่อขอซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก

สัปดาห์ก่อนทรัมป์ต่อสายถึงนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมตเต เฟรเดอริกเซน

เขาต่อรองเจรจาเองเหมือนเซลส์แมนซื้อขายของ ไม่จำเป็นต้องส่งตัวแทนคนไหนไปหยั่งท่าทีก่อน

การพูดจาระหว่างทรัมป์กับผู้นำเดนมาร์กยาวนาน 45 นาที…เป็น 45 นาทีที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง

ทรัมป์ไม่พูดพล่ามทำเพลง เปิดเกมด้วยการบอกว่าเขาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น

“เกาะกรีนแลนด์ไม่ได้เอาไว้ขายนะ” คือคำตอบของนายกฯ เฟรเดอริกเซน

เกาะกรีนแลนด์ตั้งอยู่ในขั้วโลกอาร์กติกอันกว้างใหญ่

เป็นเขตปกครองตนเองภายใต้ราชอาณาจักรเดนมาร์ก

ข่าววงในยืนยันว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำสองประเทศที่ “แย่มากๆ”

เพราะทรัมป์พูดจาแบบ “ทุบ” หัวนายกฯ เดนมาร์กอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น

ว่ากันว่านายกฯ เดนมาร์กพยายามจะใช้ภาษาการทูตอย่างเต็มความสามารถ

เพราะรู้ซึ้งถึงสไตล์โฉ่งฉ่างของ “ฯพณฯ ทรัมป์” เป็นอย่างดี

เธอบอกว่าแม้เดนมาร์กจะไม่ขายเกาะแห่งนี้ แต่ก็ตระหนักถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างอเมริกากับเดนมาร์กมาช้านาน

วิธีที่ดีกว่าการซื้อขายก็ควรจะเป็นการยกระดับความร่วมมือในทางด้านความมั่นคง โดยที่สหรัฐสามารถเพิ่มกิจกรรมด้านฐานทัพทหารบนเกาะแห่งนี้ได้

อีกทั้งหากทรัมป์สนใจในการสำรวจหาแร่และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ บนเกาะแห่งนี้ก็ย่อมจะเป็นเรื่องที่พร้อมจะมีการพูดจากันได้แน่นอน

ทรัมป์ไม่ฟังเสียง เหมือนเด็กที่พ่อแม่ตามใจจนชิน เขาอยากได้ของเล่นชิ้นไหนต้องได้ ถ้าไม่ได้ โลกต้องปั่นป่วน

ทรัมป์บอกว่าเขาต้องการเป็น “เจ้าของ” ไม่ใช่แค่ “ผู้ร่วมพัฒนา”

 

จากนั้น บทสนทนาก็กลายเป็นการส่งเสียงข่มขู่จากทรัมป์ว่าหากนายกฯ เดนมาร์กไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับเขา ก็จงเตรียมตัวเตรียมใจเจอกับอาวุธร้ายแรงจากวอชิงตันในยุคเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าทัดทานหรือทักท้วง

อาวุธที่ว่านี้ไม่ใช่ขีปนาวุธ ไม่ใช่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคง

แต่มันคือ “ภาษี” โดยเฉพาะ Tariff หรือภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสหรัฐ

ไม่ต้องแปลกใจหากทรัมป์จะลากเรื่องนี้ไปโยงกับความสัมพันธ์ของสหรัฐกับยุโรป, นาโตและเรื่องราวอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้คู่สนทนาต้องนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน

ทรัมป์ไม่สนใจคำเตือนจากผู้เป็นห่วงกังวลว่าท่าที “นักเลงโต” อย่างนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐกลายเป็น “มหาอำนาจนักเลงโต” ที่ไม่เคารพกฎกติกามารยาทสากลที่ว่า

ไม่มีประเทศใดพึงจะหาญกล้าที่จะยึดดินแดนชาติอธิปไตยอื่นไม่ว่าจะด้วยการต่อรอง, ครอบงำหรือเสนอเงินทองโดยที่ประเทศนั้นไม่ยินยอม

 

ความอยากได้เกาะกรีนแลนด์เป็นเพียงหนึ่งใน “อุปกรณ์เสริมบารมี” ที่ทรัมป์ส่งเสียงดังไปทั่วว่าเขาต้องได้

ที่สร้างความงุนงงไม่น้อยกว่ากันคือการประกาศให้แคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ

หรือที่อ้างประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีเพื่อจะขอยึดคลองปานามามาเป็นของตนหน้าตาเฉย

โดยไม่คำนึงถึงกติการะหว่างประเทศ, จรรยามารยาทหรือความรู้สึกของประชาชนเจ้าของดินแดนต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

หากเป็นผู้นำชาติอื่นใดที่แสดงท่าทีอย่างนี้ สังคมโลกคงก็ออกมาประณามพร้อมหน้ากันแบบไม่ยั้งมือ

แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม วันนี้ทรัมป์สามารถแสดงพฤติกรรมอย่างนี้ได้โดยมีเพียงเสียงบ่นเบาๆ ว่า “มีอย่างนี้ด้วยหรือ?” จากบางประเทศเท่านั้น

เพราะทรัมป์กำลังใช้อำนาจทางการทหาร, เศรษฐกิจ, สังคมและความระห่ำส่วนตัวสร้าง “ระเบียบโลก” ใหม่ที่ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะนำพาโลกไปในทิศทางไหน

แต่ที่แน่ๆ คือโลกจะต้องปั่นป่วนมากขึ้นในหลายๆ มิติ อย่างน้อยก็อีก 4 ปีจากนี้ไป

 

เกาะกรีนแลนด์แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรเพียง 57,000 คน

แต่เป็นจุดเข้าสู่เส้นทางเดินเรือใหม่ๆ ที่เปิดขึ้นเรื่อยๆ ผ่านอาร์กติก

และมีแร่ธาตุมากมายแต่เข้าถึงได้ยาก

ทรัมป์อาจจะอ้างว่าความปลอดภัยและความมั่นคงของกรีนแลนด์มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา

เพราะจีนและรัสเซียได้เพิ่มกิจกรรมในภูมิภาคอาร์กติก

ตอนต้นเดือนมกราคม ทรัมป์ขู่ว่าถ้าเดนมาร์กดื้อดึง ไม่ยอมขายเกาะนี้ให้เขา ก็จะ “ลงโทษ” ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าที่ส่งไปขายในตลาดอเมริกา

ไม่แต่เท่านั้น ความเป็น “นักเลงปากซอย” ยังทำให้ทรัมป์บอกว่าเขาไม่ “ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้” ที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะนี้

อยู่ดีๆ ทรัมป์ก็เอ่ยเอื้อนขึ้นมาว่า “ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดนมาร์กมีสิทธิทางกฎหมายเหนือเกาะแห่งนี้หรือเปล่า…”

ก่อนสาบานตนรับตำแหน่งไม่กี่วัน ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งขันว่า

“ที่ผมจะซื้อเกาะกรีนแลนด์นี่ ผมกำลังพูดถึงการปกป้องโลกเสรีนะ”

สำทับด้วยว่า “คุณยอมให้มีเรือจีนและเรือรัสเซียวิ่งเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น เราจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”

 

M?te Egede มุขมนตรีของกรีนแลนด์เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าชาวเกาะต้องการเอกราชของตนมากกว่าสัญชาติอเมริกันหรือเดนมาร์ก

เขาบอกว่าพร้อมจะเจรจาทำธุรกิจของสหรัฐ เพื่อร่วมลงทุนในการทำเหมืองแร่และการท่องเที่ยว

แต่คนเกาะกรีนแลนด์ไม่ได้ต้องการสัญชาติอเมริกัน!

ก่อนหน้าจะคุยกับทรัมป์ นายกฯ เฟรเดอริกเซนของเดนมาร์กได้จัดการประชุมกับซีอีโอของบริษัทเดนมาร์กขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Novo Nordisk และ Carlsberg เพื่อหารือถึง “ภัยคุกคามของทรัมป์”

และเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะมาพร้อมภาษีศุลกากรที่อาจเพิ่มขึ้นหากทรัมป์ “บ้าเลือด” พอที่จะทำตามคำขู่นั้น

 

มาถึงจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าทรัมป์คือปรากฏการณ์ “แผ่นดินไหว” ครั้งใหญ่ในฉากทัศน์เลวร้ายที่สุดฉากหนึ่งบนเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลก

วันนี้ เราได้ยินเพียงเสียงคำรามของภูเขาไฟลูกนี้เท่านั้น ยังรอการระเบิดครั้งใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดวันใดเวลาใด

และที่ยิ่งทำนายไม่ได้เลยคือจะมี “อาฟเตอร์ช็อก” ตามมาอีกกี่ลูก และแต่จะลูกจะรุนแรงหนักหน่วงเพียงใด

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยหัวใจระทึก!