ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
กาแฟดำ | สุทธิชัย หยุ่น
‘จักรพรรดิทรัมป์’
กับอาการ ‘บ้าก็บ้าวะ!’
โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะสถาปนาตัวเองเป็น “จักรพรรดิ” แห่งยุคดิจิทัล
เขาปรารถนาอย่างยิ่งที่จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็น “แม่แบบแห่งประชาธิปไตย”
น่าเชื่อได้ว่าลึกๆ แล้วประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐวัย 78 คนนี้มีความอิจฉาผู้นำจีนอย่างสี จิ้นผิง หรือประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน และท่านประธานคิม จองอึน ของเกาหลีเหนืออย่างมาก
ทรัมป์เคยเปิดใจว่าเขาอยากจะปกครองประเทศที่ประชาชนยอมทำตามทุกอย่างที่ผู้นำสั่งการอย่างสามประเทศนี้
ทรัมป์จึงขอเป็น “เผด็จการ” สัก 24 ชั่วโมงแรกของการเข้ามานั่งทำเนียบขาวอีกรอบหนึ่ง
วันนี้ ทรัมป์สำแดงความเป็น “ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ” อย่างสนุกสนาน
ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้คนที่พบเห็น
เพราะเขาสั่งการในทำเนียบขาวไม่พอ พรรครีพับลิกันของเขายังครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
อีกทั้งเขายังสามารถตั้งผู้พิพากษาในศาลสูงสุดอีกจำนวนหนึ่ง
จึงมีบารมีเหนือทั้ง 3 อำนาจของประเทศค่อนข้างครบครัน
ตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคมเป็นต้นมา ทรัมป์ก็อาละวาดไปทั่วโลก
ใครในประเทศไทยต้องการจะวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อตั้งรับทรัมป์ต้องศึกษารายละเอียดของวิธีการของเขาให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน
หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือวิธีการที่ทรัมป์ต่อรองเจรจาเพื่อขอซื้อเกาะกรีนแลนด์จากเดนมาร์ก
สัปดาห์ก่อนทรัมป์ต่อสายถึงนายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมตเต เฟรเดอริกเซน
เขาต่อรองเจรจาเองเหมือนเซลส์แมนซื้อขายของ ไม่จำเป็นต้องส่งตัวแทนคนไหนไปหยั่งท่าทีก่อน
การพูดจาระหว่างทรัมป์กับผู้นำเดนมาร์กยาวนาน 45 นาที…เป็น 45 นาทีที่ร้อนแรงอย่างยิ่ง
ทรัมป์ไม่พูดพล่ามทำเพลง เปิดเกมด้วยการบอกว่าเขาจะซื้อเกาะกรีนแลนด์จริงๆ ไม่ได้พูดเล่น
“เกาะกรีนแลนด์ไม่ได้เอาไว้ขายนะ” คือคำตอบของนายกฯ เฟรเดอริกเซน
เกาะกรีนแลนด์ตั้งอยู่ในขั้วโลกอาร์กติกอันกว้างใหญ่
เป็นเขตปกครองตนเองภายใต้ราชอาณาจักรเดนมาร์ก
ข่าววงในยืนยันว่ามันเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำสองประเทศที่ “แย่มากๆ”
เพราะทรัมป์พูดจาแบบ “ทุบ” หัวนายกฯ เดนมาร์กอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใครทั้งสิ้น
ว่ากันว่านายกฯ เดนมาร์กพยายามจะใช้ภาษาการทูตอย่างเต็มความสามารถ
เพราะรู้ซึ้งถึงสไตล์โฉ่งฉ่างของ “ฯพณฯ ทรัมป์” เป็นอย่างดี
เธอบอกว่าแม้เดนมาร์กจะไม่ขายเกาะแห่งนี้ แต่ก็ตระหนักถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างอเมริกากับเดนมาร์กมาช้านาน
วิธีที่ดีกว่าการซื้อขายก็ควรจะเป็นการยกระดับความร่วมมือในทางด้านความมั่นคง โดยที่สหรัฐสามารถเพิ่มกิจกรรมด้านฐานทัพทหารบนเกาะแห่งนี้ได้
อีกทั้งหากทรัมป์สนใจในการสำรวจหาแร่และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ บนเกาะแห่งนี้ก็ย่อมจะเป็นเรื่องที่พร้อมจะมีการพูดจากันได้แน่นอน
ทรัมป์ไม่ฟังเสียง เหมือนเด็กที่พ่อแม่ตามใจจนชิน เขาอยากได้ของเล่นชิ้นไหนต้องได้ ถ้าไม่ได้ โลกต้องปั่นป่วน
ทรัมป์บอกว่าเขาต้องการเป็น “เจ้าของ” ไม่ใช่แค่ “ผู้ร่วมพัฒนา”
จากนั้น บทสนทนาก็กลายเป็นการส่งเสียงข่มขู่จากทรัมป์ว่าหากนายกฯ เดนมาร์กไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการรักษาความสัมพันธ์กับเขา ก็จงเตรียมตัวเตรียมใจเจอกับอาวุธร้ายแรงจากวอชิงตันในยุคเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าทัดทานหรือทักท้วง
อาวุธที่ว่านี้ไม่ใช่ขีปนาวุธ ไม่ใช่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคง
แต่มันคือ “ภาษี” โดยเฉพาะ Tariff หรือภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสหรัฐ
ไม่ต้องแปลกใจหากทรัมป์จะลากเรื่องนี้ไปโยงกับความสัมพันธ์ของสหรัฐกับยุโรป, นาโตและเรื่องราวอื่นๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้คู่สนทนาต้องนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน
ทรัมป์ไม่สนใจคำเตือนจากผู้เป็นห่วงกังวลว่าท่าที “นักเลงโต” อย่างนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐกลายเป็น “มหาอำนาจนักเลงโต” ที่ไม่เคารพกฎกติกามารยาทสากลที่ว่า
ไม่มีประเทศใดพึงจะหาญกล้าที่จะยึดดินแดนชาติอธิปไตยอื่นไม่ว่าจะด้วยการต่อรอง, ครอบงำหรือเสนอเงินทองโดยที่ประเทศนั้นไม่ยินยอม
ความอยากได้เกาะกรีนแลนด์เป็นเพียงหนึ่งใน “อุปกรณ์เสริมบารมี” ที่ทรัมป์ส่งเสียงดังไปทั่วว่าเขาต้องได้
ที่สร้างความงุนงงไม่น้อยกว่ากันคือการประกาศให้แคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐ
หรือที่อ้างประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีเพื่อจะขอยึดคลองปานามามาเป็นของตนหน้าตาเฉย
โดยไม่คำนึงถึงกติการะหว่างประเทศ, จรรยามารยาทหรือความรู้สึกของประชาชนเจ้าของดินแดนต่างๆ เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
หากเป็นผู้นำชาติอื่นใดที่แสดงท่าทีอย่างนี้ สังคมโลกคงก็ออกมาประณามพร้อมหน้ากันแบบไม่ยั้งมือ
แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม วันนี้ทรัมป์สามารถแสดงพฤติกรรมอย่างนี้ได้โดยมีเพียงเสียงบ่นเบาๆ ว่า “มีอย่างนี้ด้วยหรือ?” จากบางประเทศเท่านั้น
เพราะทรัมป์กำลังใช้อำนาจทางการทหาร, เศรษฐกิจ, สังคมและความระห่ำส่วนตัวสร้าง “ระเบียบโลก” ใหม่ที่ยังไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะนำพาโลกไปในทิศทางไหน
แต่ที่แน่ๆ คือโลกจะต้องปั่นป่วนมากขึ้นในหลายๆ มิติ อย่างน้อยก็อีก 4 ปีจากนี้ไป
เกาะกรีนแลนด์แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรเพียง 57,000 คน
แต่เป็นจุดเข้าสู่เส้นทางเดินเรือใหม่ๆ ที่เปิดขึ้นเรื่อยๆ ผ่านอาร์กติก
และมีแร่ธาตุมากมายแต่เข้าถึงได้ยาก
ทรัมป์อาจจะอ้างว่าความปลอดภัยและความมั่นคงของกรีนแลนด์มีความสำคัญต่อสหรัฐอเมริกา
เพราะจีนและรัสเซียได้เพิ่มกิจกรรมในภูมิภาคอาร์กติก
ตอนต้นเดือนมกราคม ทรัมป์ขู่ว่าถ้าเดนมาร์กดื้อดึง ไม่ยอมขายเกาะนี้ให้เขา ก็จะ “ลงโทษ” ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าที่ส่งไปขายในตลาดอเมริกา
ไม่แต่เท่านั้น ความเป็น “นักเลงปากซอย” ยังทำให้ทรัมป์บอกว่าเขาไม่ “ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้” ที่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะนี้
อยู่ดีๆ ทรัมป์ก็เอ่ยเอื้อนขึ้นมาว่า “ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดนมาร์กมีสิทธิทางกฎหมายเหนือเกาะแห่งนี้หรือเปล่า…”
ก่อนสาบานตนรับตำแหน่งไม่กี่วัน ทรัมป์ประกาศอย่างแข็งขันว่า
“ที่ผมจะซื้อเกาะกรีนแลนด์นี่ ผมกำลังพูดถึงการปกป้องโลกเสรีนะ”
สำทับด้วยว่า “คุณยอมให้มีเรือจีนและเรือรัสเซียวิ่งเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น เราจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น”
M?te Egede มุขมนตรีของกรีนแลนด์เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าชาวเกาะต้องการเอกราชของตนมากกว่าสัญชาติอเมริกันหรือเดนมาร์ก
เขาบอกว่าพร้อมจะเจรจาทำธุรกิจของสหรัฐ เพื่อร่วมลงทุนในการทำเหมืองแร่และการท่องเที่ยว
แต่คนเกาะกรีนแลนด์ไม่ได้ต้องการสัญชาติอเมริกัน!
ก่อนหน้าจะคุยกับทรัมป์ นายกฯ เฟรเดอริกเซนของเดนมาร์กได้จัดการประชุมกับซีอีโอของบริษัทเดนมาร์กขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Novo Nordisk และ Carlsberg เพื่อหารือถึง “ภัยคุกคามของทรัมป์”
และเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจจะมาพร้อมภาษีศุลกากรที่อาจเพิ่มขึ้นหากทรัมป์ “บ้าเลือด” พอที่จะทำตามคำขู่นั้น
มาถึงจุดนี้ก็ต้องยอมรับว่าทรัมป์คือปรากฏการณ์ “แผ่นดินไหว” ครั้งใหญ่ในฉากทัศน์เลวร้ายที่สุดฉากหนึ่งบนเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลก
วันนี้ เราได้ยินเพียงเสียงคำรามของภูเขาไฟลูกนี้เท่านั้น ยังรอการระเบิดครั้งใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดวันใดเวลาใด
และที่ยิ่งทำนายไม่ได้เลยคือจะมี “อาฟเตอร์ช็อก” ตามมาอีกกี่ลูก และแต่จะลูกจะรุนแรงหนักหน่วงเพียงใด
โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยหัวใจระทึก!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022