หลากมุมมองนักวิชาการ ศึกชิง อบจ. แดง VS ส้ม เปิดยุทธการยึดเมือง โฟกัสสนามรบดุเดือด

เลือกตั้งท้องถิ่น

 

หลากมุมมองนักวิชาการ

ศึกชิง อบจ. แดง VS ส้ม

เปิดยุทธการยึดเมือง

โฟกัสสนามรบดุเดือด

 

ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 47 จังหวัดทั่วประเทศ ทวีความเข้มข้นดุเดือดและน่าจับตามองในหลายๆ พื้นที่เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการต่อสู้ฟาดฟันเดิมพันศักดิ์ศรีครั้งสำคัญระหว่าง แดง VS ส้ม คือ พรรคเพื่อไทย กับ พรรคประชาชน ก่อนที่จะถึงวันชี้ชะตาการเมืองท้องถิ่นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568

การเลือกตั้งนายก อบจ.ปีนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย สวมบทบาทแม่ทัพใหญ่ลงมาบัญชาการด้วยตัวเอง โดยหวังกอบกู้ความเชื่อมั่น ทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่งให้ได้อีกครั้ง

รวมไปถึงหยุดยั้งการเติบโตของพรรคประชาชน เล่นตามเกมดีลลับจัดการกับขั้วสีส้ม เพื่อปูทางไปสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า ตลอดจนนำน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับมาฉลองสงกรานต์กับพี่ชายแบบพร้อมหน้าพร้อมตาที่เมืองไทย

ที่สำคัญ พลังและบารมีของทักษิณก็ได้พิสูจน์ให้เห็นกันมาแล้ว หลังจากอดีตนายกฯ วัย 75 ปี เป็นผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะนายก อบจ.ที่อุดรธานี และที่อุบลราชธานี เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว

เรียกได้ว่าทักษิณช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในการต่อสู้กับพรรคประชาชน และเครือข่ายบ้านใหญ่ที่มีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนได้เป็นอย่างดี

 

ดังนั้น เกมนี้ทักษิณจึงจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ และวางยุทธศาสตร์ให้รัดกุมมากที่สุด เพื่อเป้าหมายในการปักธงสีแดงบนสนามท้องถิ่น เดินหน้ากวาดชัยชนะนายก อบจ.ครั้งนี้ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

สอดรับกับท่าทีของทักษิณในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อไทยหาเสียงในหลายจังหวัด เริ่มจากที่นครพนม บึงกาฬ หนองคาย และมหาสารคาม เมื่อวันที่ 18-20 มกราคม 2568

โดยที่มหาสารคามเกิดเหตุระทึกขวัญเล็กน้อย เนื่องจากมีอดีตคนเสื้อแดงขว้างถุงใส่ขวดน้ำขึ้นไปบนเวทีปราศรัยเฉียดโดนศีรษะทักษิณ ขณะกำลังปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคาม จนทำให้การ์ดและมวลชนในบริเวณนั้นต้องช่วยกันระงับสถานการณ์

อดีตคนเสื้อแดงมือขว้างยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจโยนของขึ้นไปบนเวที แต่พอนั่งฟังคำปราศรัยของทักษิณแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่พูด เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น นานๆ เขามาเหยียบบ้านเราที เราต้องจัด

ขณะที่อดีตนายกฯ ทักษิณเผยว่า ไม่ได้โกรธอะไร คนไทยต้องให้อภัยกัน บางทีคนเราก็เก็บกด ไม่มีปัญหา ใจเย็นๆ พี่น้อง พร้อมที่จะดูแลกันและกัน ไม่เป็นไร

“ผมโดนลอบฆ่าตอนเป็นนายกฯ 4 ครั้ง คนถามว่าผมใส่พระอะไร ผมบอกหลวงพ่อหนังวัดโกยแนบ เราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท” ทักษิณกล่าว และมีกำหนดเดินทางไปที่ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นจังหวัดสุดท้ายของภาคอีสาน ก่อนปิดท้ายช่วยหาเสียงที่เชียงรายและเชียงใหม่ วันที่ 29-30 มกราคม 2568

 

ขณะที่พรรคประชาชนก็หมายมั่นปั้นมือกับการเลือกตั้งนายก อบจ.ในครั้งนี้ไม่แพ้กัน โดยหวังปักธงสีส้มบนสนามการเมืองท้องถิ่นให้ได้ทุกภาค

แม้หลายฝ่ายประเมินว่าพรรคประชาชนอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะแพ้เรื่องกระสุน หรือทำงานในพื้นที่น้อยไป แต่ขุนพลพรรคส้มต่างก็ไม่ก้มหน้ายอมรับคำปรามาสเหล่านั้น พวกเขาพร้อมที่จะสู้ให้ถึงที่สุดในทุกสนาม เพื่อเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ทางการเมืองไทย

พร้อมผุดแคมเปญ “ส้มบุกทั่วไทยเปิดปราศรัยใหญ่ อบจ.ประชาชน” จัดหนักจัดเต็มขนบรรดาแกนนำคณะก้าวหน้า และ ส.ส.พรรคส้มตัวตึงลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียง ทั้งภาคกลาง เหนือ อีสาน ตะวันออก และใต้

นำโดยผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และหัวหน้าพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ฯลฯ

 

ด้านมุมมองของนักวิชาการ และทีมทำงานเบื้องหลังพรรคสีส้ม แสดงความคิดเห็นในรายการ The Politics ข่าวบ้าน การเมือง โดยวิเคราะห์การต่อสู้ระหว่าง แดง VS ส้ม พรรคไหนมีโอกาสคว้าชัยชนะสนาม อบจ. มากกว่ากัน

เริ่มจาก ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมีความได้เปรียบกว่าพรรคประชาชน และมองว่าพรรคส้มก็อาจจะไม่ชนะเลย เพราะด้วยความที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสามารถคุมทรัพยากร คือกระทรวงต่างๆ

รวมถึงการที่อดีตนายกฯ ทักษิณลงไปช่วยสนามท้องถิ่น อบจ. แล้วพยายามบอกว่าการมีนายก อบจ.ที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลส่วนกลาง คือแต้มต่อ มันคือโมเดลที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะวันนี้โครงสร้างของประเทศเรามันเป็นแบบนี้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ฟันธงว่าพรรคประชาชนมีโอกาสคว้าเก้าอี้นายก อบจ.ได้ครบทั้ง 5 ภาค โดยเฉพาะที่ภูเก็ต สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นครนายก และตราด

รวมทั้งอาจจะสร้างเซอร์ไพรส์ที่เชียงใหม่ด้วย เพราะคนเชียงใหม่ พ.ศ.นี้ กับเมื่อปี 2563 ความคิดความอ่านแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เช่นเดียวกับ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่มองว่าพรรคประชาชนมีลุ้นชนะนายก อบจ. ประมาณ 5 ที่นั่ง แต่ที่เชียงใหม่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยแพ้ไม่ได้

“ครั้งนี้นายก อบจ.ทุกจังหวัดที่ลง ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง สีอื่นๆ หรือแม้กระทั่งสีท้องถิ่น ทุกคนต้องผลิตนโยบายเพื่อแข่งขันทางการเมือง คืออาศัยความเป็นบ้านใหญ่แบบเดิมไม่ได้แล้ว แสดงว่าสังคมมันเริ่มเปลี่ยน”

“กระแส พิธา-ธนาธร ช่วยได้ไหม ช่วยได้ระดับหนึ่ง ถามว่ามีโอกาสไหม มีโอกาส มีลุ้นได้ เช่น ระยอง ส่วนเชียงใหม่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทยแพ้ไม่ได้ ถ้าพรรคเพื่อไทยแพ้แล้วคุณทักษิณจะเอาหน้าไว้ที่ไหน” รศ.ดร.โอฬารกล่าว

 

ขณะที่ ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯ ทักษิณจะทวงคืนศักดิ์ศรีในเชียงใหม่กลับมาได้อย่างแน่นอน หลังจากที่เคยแพ้พรรคส้มในการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2566

“ผมว่ายากครับที่พรรคประชาชนจะเอาชนะในเชียงใหม่ เนื่องจากความตื่นตัวมันไม่เหมือนช่วงเลือกตั้งปี 2566 โดยฐานคนรุ่นใหม่ที่เชียร์พรรคประชาชน เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่มันเป็นเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงระดับนั้น มันไม่สามารถตัดสินด้วยการเลือกตั้ง อบจ.ได้”

“การเลือกตั้งใหญ่ จาก 10 เขต เพื่อไทยได้แค่ 2 เขต ก้าวไกลชนะ 7 เขต ก็อาจจะใช้การเลือกตั้ง อบจ.มาเป็นสนามที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่น เพื่อเตรียมตัวเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570” ผศ.ดร.ณัฐกรกล่าว

ด้าน ผศ.ดร.กฤษฎา พรรณราย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตสุราษฎร์ธานี วิเคราะห์โอกาสของพรรคประชาชนในภาคใต้ โดยเชื่อว่าสีส้มมีลุ้นมากที่สุดคือที่ภูเก็ต เนื่องจากผู้สมัครมีจำกัด โดยมีแค่แชมป์เก่ากับผู้สมัครจากพรรคประชาชนที่เปิดตัวมานานแล้ว รวมถึงได้พลังจาก ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

ขณะเดียวกันพรรคประชาชนยังมีลุ้นที่สุราษฎร์ธานีด้วยเช่นกัน และการมาของผู้สมัครพรรคประชาชนยังส่งผลให้ผู้สมัครเจ้าถิ่นเดิม ต้องหันมาแข่งขันเรื่องนโยบายมากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการสาดกระสุนของขั้วเก่าในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งเป็นยุทธวิธีทางการเมืองแบบเดิม