ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความในประเทศ
ทรัมป์-ไทย
Welcome
หรือ
เวรกรรม
ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกสัปดาห์ที่ผ่านมา หนีไม่พ้นการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์
ที่ถูกพูดถึงเพราะคนไม่รู้ว่านับจากนี้ไป รัฐมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ที่สร้างระเบียบโลกทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ไว้มากมาย จะเป็นยังไงต่อ?
เพราะตัวตนและแนวทางของทรัมป์ที่ขัดกับค่านิยมทางการเมือง สังคม การต่างประเทศ แบบที่ผู้นำสหรัฐคนอื่นๆ เคยเป็นมา เป็นตัวตนของการคาดเดาไม่ได้ ละทิ้งคุณค่าสากล มุ่งไปในแนวทาง “โดดเดี่ยวนิยม” แสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเพื่อสหรัฐเองเป็นหลัก
เห็นชัดมาแล้วตั้งแต่ยุคทรัมป์ 1.0
น่าสนใจว่า แต่ละวันนับจากนี้ นโยบายและคำสั่งต่างๆ ที่ออกมาจากทำเนียบขาวยุคทรัมป์ 2.0 จะดิสรัปต์โลกขณะนี้อย่างไรอีก
และแน่นอนว่า จะสะเทือนถึงไทยแค่ไหน?
ต้องยอมรับว่าเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นปัญหาระดับโลก
ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจากวิกฤตการระบาดช่วงโควิด ผสานกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงระดับสูงต่อความเป็น “อเมริกันดรีม” ที่เคยเป็นมา
“ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของคนอเมริกัน” เป็นปัจจัยสำคัญ เอื้อให้นักการเมืองแนวชาตินิยม-ประชานิยมแบบทรัมป์ กลับคืนมามีอำนาจ
แม้จะต้องถูกลดทอนความก้าวหน้าทางการเมืองลงบ้าง แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เพื่อแลกกับ “โอกาสใหม่ๆ ที่กราฟทางเศรษฐกิจจะมีโอกาสพุ่งขึ้น”
วันนี้ คนอเมริกันอาจมองทรัมป์เป็น “โอกาสใหม่ๆ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” แต่สำหรับ “พลเมืองโลก” กระทบเต็มๆ
เอาแค่วันแรก ทรัมป์ก็เซ็นถอนตัวจาก “ข้อตกลงปารีสว่าด้วยสภาพอากาศ” เพราะไม่อยากถูกจำกัดเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน
นี่คือการโชว์จุดยืนว่าสหรัฐจากนี้จะไม่สนใจว่าสิ่งแวดล้อมในโลกจะเป็นอย่างไร
ระดับโลกสะเทือนหนัก และอาจจะปั่นป่วนมากขึ้นจากนี้
ตัดภาพมาที่ประเทศไทยในห้วงขณะการกลับมาของทรัมป์
ต้องยอมรับว่าประเทศเราก็อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนักในทางเศรษฐกิจ
แม้จะไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตแบบที่เกิดขึ้นในปี 2540 แต่ก็เป็นวิกฤตในอีกรูปแบบ คือเป็นภาวะเศรษฐกิจซบเซายาวนาน และไม่มีท่าทีจะฟื้นตัว
ซ้ำร้าย กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่างๆ ก็เป็นเครื่องมือเก่า เต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวาง หนี้สาธาณะภาครัฐบานเบอะ เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ใช้ขับเคลื่อนประเทศไทยก็เป็นเครื่องยนต์เก่า ไร้การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ มาแข่งกับโลก ทุนใหญ่ของไทยก็เป็นทุนกึ่งผูกขาด ไม่ได้แข่งขันต่อสู้กันแบบเสรี 100%
นั่นคือระดับมหภาค
ในระดับจุลภาค หนี้ครัวเรือนไทย-หนี้ธุรกิจ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กำลังซื้อหดวูบ หนี้เสียพุ่งมหาศาล
ในด้านการเมืองยิ่งแย่กว่า…
เป็นที่รู้กันว่าไทยเป็นระบอบประชาธิปไตยอำพราง การเมืองแข่งกันภายใต้กติกาที่ออกแบบจากยุครัฐบาลทหาร
ส่งผลให้เกิดรัฐบาลที่ครองอำนาจ ไม่ได้สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างชัดเจน กลายเป็นรัฐบาลผสมหลายขั้วหลายมุ้ง เกิดการต่อรองระดับสูง พรรคแกนนำตั้งรัฐบาลไม่เข้มแข็ง ไม่มีอำนาจเด็ดขาด
นั่นคือปัญหาจาก “โครงสร้าง”
รัฐบาลเพื่อไทยปัจจุบันจึงไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาด-ชอบธรรมเต็มที่ เช่นที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยมีในยุคไทยรักไทย
การกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ใน พ.ศ.นี้ แม้จะเป็นทักษิณคนใหม่ที่โชว์วิชั่นเข้าใจ “ทุนนิยมโลก” ดีกว่าเดิม แต่ก็ทำอะไรได้ยาก
เพราะเป็นการกลับมาที่แบบกรณีพิเศษ ในบริบททางการเมืองเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป แรงสนับสนุนทางการเมือง “ลดลงมาก” เมื่อเทียบกับการมีอำนาจยุคไทยรักไทย
ซ้ำยังต้องเจอความท้าทายอย่างหนักทั้งทางเศรษฐกิจ ทั้งระดับมหภาค ทั้งระดับจุลภาค
ครองอำนาจสู่ปีที่ 2 แล้ว รัฐบาลย่อมรู้ดี แม้จะพยายามใช้นโยบายประชานิยมเดิม แจกเงินหมื่นด้วยงบประมาณมหาศาล ก็แทบไม่เกิดแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจดังที่หวัง
นโยบายแก้หนี้ครัวเรือน ได้รับการชมว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ก็แก้ได้เพียงเล็กน้อย คนส่วนใหญ่ยังแบกหนี้ระดับมโหฬาร ยังไม่เห็นช่องทางผ่อนเบา ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถฟื้นกำลังซื้อกลับคืนได้มาก
นี่คือโจทย์ความท้าทายของประเทศไทย ในสถานการณ์โลกปัจจุบัน
ถามว่าทักษิณเข้าใจเรื่องพวกนี้หรือไม่ คำตอบคือเข้าใจดี
นั่นจึงเป็นที่มาของการเปิดหน้าชนทางการเมือง ลุยสนามการเมืองท้องถิ่น กระชับความสัมพันธ์บ้านใหญ่ ดึงเครือข่ายอำนาจท้องถิ่น สะสมฐานกำลังอำนาจ ปูทางไปสู่การเลือกตั้งในอีกราวๆ 2 ปีกว่าข้างหน้า
โชว์วิชั่น ผุดวาทกรรมประชานิยมหลายเรื่อง ในทุกโอกาสที่มีหวังเรียกคืนความหวัง ฟื้นคืนเรตติ้งที่มีในอดีต
หลายช็อต เด็ดไม่แพ้ โดนัลด์ ทรัมป์ กันเลยทีเดียว
คำถามสำคัญตอนนี้คือว่า การมาของทรัมป์จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลเพื่อไทย ที่มีนายทักษิณเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิด?
ความเสี่ยงที่สำคัญสุดเห็นจะเป็นเรื่องนโยบายกีดกันทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์
อย่าลืมว่าไทยพึ่งพาส่งออกสูงมาก เป็น 60-70% ของจีดีพีในแต่ละปี (เกือบ 17% ส่งออกไปสหรัฐและมีแนวโน้มสูงขึ้น)
ไทยเสียดุลการค้าจากจีนปีละ 1-1.5 ล้านล้านบาท และได้ดุลการค้าจากสหรัฐปีละ 1 ล้านล้านบาท จึงมีโอกาสสูงที่จะโดนตอบโต้เพราะได้ดุลการค้าสหรัฐ
แบบทางตรงก็คือโดนกำแพงภาษี สินค้าไทยที่ส่งออกไปก็จะแพงขึ้น ทำให้คนซื้อน้อยลง ซึ่งอาจลามมาถึงโรงงานในไทยลดการผลิต
แบบอ้อมก็คือผลกระทบจากจีนที่โดนกำแพงภาษีอย่างจังจากสหรัฐ ภาวะการผลิตล้นเกินของจีนก็อาจทำให้จีนขนสินค้ามาขายไทยโดยใช้กลไกราคา เพราะมี FTA กันอยู่
ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ของผู้ผลิตไทยให้เลวร้ายลงเข้าไปอีก
แต่ในมุมของนายทักษิณ มองการมาของทรัมป์แบบไม่กังวลมากนัก เขามองว่าไทยมีต้นทุนที่ดีเป็นพันธมิตรเก่าแก่สุดของสหรัฐ จึงอยู่ในข่ายคุยกันรู้เรื่อง
ตรงกันข้ามกับวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่มองว่า ทรัมป์เป็นคนที่เสี่ยงจะคุยไม่รู้เรื่องสูง
วีระยุทธเสนอว่าวิธีดีลกับทรัมป์ ต้องพกข้อมูลที่รอบด้าน รู้จุดอ่อนจุดแข็งที่ไทยจะใช้ในการตอบโต้ ทั้งยังต้องพูดคุยกับทรัมป์แบบกระชับ เพื่อเลี่ยงการถูกตัดบท มีอารมณ์ขัน แต่ต้องมีพลัง ยืนหยัดทระนง ไม่เผยการอ่อนข้อ อ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น ไทยควรยืนหยัดสู้กับ Trump 2.0 ในฐานะประเทศ Middle Power
จะเห็นว่าการมาของทรัมป์ ในระยะสั้นเราเห็นเรื่องที่พอจะมีแนวโน้มดี เช่น สงครามที่เกิดขึ้น อาจมีแนวโน้มเบาลง (แม้ไม่เห็นการแก้ปัญหาระยะยาว)
แต่ในทางเศรษฐกิจ การกลับมาของทรัมป์ก็อาจทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไทยเรากำลังเผชิญอยู่หนักขึ้นได้
ปีที่ผ่านมาหลายอุตสาหกรรมของไทยก็ปั่นป่วนหนักอยู่แล้ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์
หลายอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐก็ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานคนไทยระดับสูง
แต่ในวิกฤตก็ยังพอมีโอกาสอยู่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำรัฐบาล ที่จะช่วงชิงอำนาจการเจรจาต่อรอง ผลกระทบอันอาจจะเกิดจากนโยบายทรัมป์ 2.0
คงไม่อาจหวังให้เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูรุ่งเรือง ตัวเลขจีดีพีพุ่งกระฉูด
หวังแค่เพียงชะลอการไหลของเลือด รักษาดุลทางเศรษฐกิจที่ดี ให้ยังคงดำเนินต่อไปแบบไม่สะดุดก็พอ
เช่นกัน ถ้าตั้งรับไม่ดี ไม่ได้ทำการทูตเชิงรุก อย่างตรงเป้า มีประสิทธิภาพพอ ไม่คาดการณ์ล่วงหน้า ไม่เตรียมกลไกทางเศรษฐกิจและการต่างประเทศป้องกันไว้ดีพอ
การมาของทรัมป์ยุค 2.0 นอกจากไม่น่า “เวลคัม” แล้ว
สำหรับประเทศไทยขณะนี้อาจจะเรียกว่า “เวรกรรม” ก็ได้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022