พิษยืดเยื้อคาราคาซัง ปมร้อนอัลไพน์-เขากระโดง เขย่าสัมพันธ์ ‘พท.-ภท.’

บทความในประเทศ

 

พิษยืดเยื้อคาราคาซัง

ปมร้อนอัลไพน์-เขากระโดง

เขย่าสัมพันธ์ ‘พท.-ภท.’

 

ปมปัญหา “ที่ดินอัลไพน์” ซึ่งยืดเยื้อคาราคาซังมานานหลายปี ดูเหมือนว่าตอนนี้เรื่องราวมหากาพย์กำลังจบลง เพราะที่ดินได้กลับสู่การเป็นที่ธรณีสงฆ์

หลังจากนายชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เซ็นเพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมต่างๆ ในที่ดินอัลไพน์ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา และเตรียมส่งเรื่องไปให้กรมที่ดินดำเนินการต่อไป

แต่ทว่า แง่มุมทางการเมือง อาจกลับกลายเป็นประเด็นร้อนฉากใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และมีแนวโน้มว่าอาจจะร้อนระอุ ไม่แพ้เรื่องอื่นๆ

โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่าง 2 พรรคการเมือง นั่นคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และพรรคเพื่อไทย (พท.)

 

ทั้งนี้ ประเด็นที่ดินอัลไพน์ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เกิดกระแสข่าวแพร่สะพัดรายงานออกมาว่า “นายชาดา ไทยเศรษฐ์” ได้ลงนามคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์ กลับเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการามวรวิหาร ตามที่กรมที่ดินเสนอ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 ก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 6 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียง 3 วันเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเซ็นทิ้งทวนก่อนต้องพ้นจากตำแหน่งหรือไม่

แต่ทว่า นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย ได้ออกมาปฏิเสธทันควันว่า ไม่ใช่การลงนาม เนื่องจากเรื่องที่ดินอัลไพน์ เป็นอำนาจของรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฉะนั้น ต้องดูว่าใครเป็นผู้ที่มีอำนาจเซ็น

แต่อาจเป็นไปได้ที่นายชาดา ซึ่งเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลอาจจะมอบนโยบายเพื่อดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้อง ยืนยันว่าอำนาจการเซ็นที่มีผลทางกฎหมาย เป็นอำนาจของนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลในปัจจุบัน

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ออกมายอมรับว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เซ็นให้กรมที่ดินปฏิบัติตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด และได้ลงนามก่อนพ้นตำแหน่ง แต่นายชาดาไม่มีอำนาจในการเพิกถอน เพราะเป็นอำนาจของนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย จะต้องพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่ใช่เฉพาะคดีอัลไพน์ แต่รวมถึงคดีที่ดินเขากระโดงด้วย

นายอนุทินยังระบุอีกด้วยว่า เรื่องของการเพิกถอนอยู่ระหว่างกระบวนการ ซึ่งมาถึงจุดที่เป็นดุลยพินิจของนายชำนาญวิทย์ และหากไม่ดำเนินการก็จะผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ “ไม่มีทางออกสักเท่าไหร่ เพราะดุลยพินิจถูกล็อกมาตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะต้องเพิกถอนกรรมสิทธิ์ด้วยการออกเอกสารสิทธิของที่ดินอัลไพน์ เป็นโมฆะ และที่ดินกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์” นายอนุทินระบุ

กระทั่งที่สุด เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา นายชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้จรดปากกาเซ็นเพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมต่างๆ ในที่ดินอัลไพน์และเตรียมส่งเรื่องไปให้กรมที่ดินดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน

 

แน่นอนว่า หลังจากนี้มิติทางการเมือง ย่อมหนีไม่พ้นการจับตาความสัมพันธ์ของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และอาจเชื่อมโยงไปปมปัญหาข้อพิพาทคดีที่ดิน “เขากระโดง” จ.บุรีรัมย์ เพราะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยืดเยื้อคาราคาซังมานานเช่นกัน โดยเรื่องนี้ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. ภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคม ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรี ก็ยืนยันว่าที่ดิน “เขากระโดง” เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ

ฉะนั้น บรรดากูรูทางการเมืองต่างฟันธงและวิเคราะห์กันว่านี่อาจเป็นการเปิดเกมการเมืองแลกกันคนละหมัด ช่วงชิงอำนาจต่อรองกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทยหรือไม่

ยิ่งท่าทีของ “นายกฯ อิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างที่นายกฯ กำลังเดินทางลงพื้นที่ไปปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายกฯ ว่าตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าทำไมกรณีที่ดินอัลไพน์ถึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันในตอนนี้อีก ทั้งๆ ที่นายกฯ ก็ได้เคลียร์ไปแล้วส่วนหนึ่ง โดยนายกฯ ย้อนถามสื่อว่า “สังเกตไหมล่ะ”

แน่นอนว่า แม้จะได้คำตอบสั้นๆ แต่มีนัยยะพอให้ตีความได้พอสมควร

 

ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หาเสียงเลือกตั้งถึงกรณีนายชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เซ็นเพิกถอนการจดทะเบียนและนิติกรรมต่างๆ ในที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ว่า ไม่เป็นอะไร ว่ากันไปตามกฎหมาย เราอยู่ในกติกาก็ว่ากันตามกติกา กฎหมายว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น และกฎหมายต้องเสมอภาค ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบก็มีสิทธิที่จะฟ้องร้องเป็นไปตามกฎหมาย

ส่วนคำถามว่า ได้ติดตามเรื่องราคาประเมิน 7.7 พันล้านบาทหรือไม่ ซึ่งหากกรมที่ดินไม่สามารถจ่ายได้ ต้องไปของบฯ กลาง จะกลายเป็นอัฐยายซื้อขนมยายหรือไม่ นายทักษิณระบุว่า คงไม่ใช่อัฐยาย ไม่ซื้อขนมยาย เพราะอัฐรัฐบาลก็คืออัฐรัฐบาล อัฐเอกชนก็คืออัฐเอกชน และต้องอยู่ที่ใครเป็นผู้รับโอน ถ้ากรมที่ดินเป็นผู้รับโอน กรมที่ดินก็ต้องถูกตั้งข้อหาตั้งแต่ต้นว่าการโอนที่มิชอบมาแต่ต้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นเรื่องของวัดที่ได้รับคืนไป วัดก็ต้องคิดว่า วัดจะรับทรัพย์สินไปขายต่อ หรือวัดจะเอามาให้เช่า เพื่อเป็นการชดเชยความเสียหาย

“แล้วแต่ ไม่มีปัญหา เราไม่รู้ว่าออปชั่นจะออกมาอย่างไร แต่ทางอัลไพน์รับได้ทุกสถานการณ์ เพราะเราไม่ยึดติด ทุกอย่างเราถือว่าเราได้มาโดยสุจริต เพราะไม่ได้เป็นผู้ได้มือแรก เป็นผู้ได้มือที่สอง บางคนก็หาว่าเราไปโกงวัดมา ซึ่งเราไม่รู้เรื่อง เราไปซื้อมาทีหลัง เราไม่ได้เป็นคนซื้อมาก่อน” นายทักษิณระบุ

อย่างไรก็ดี อีกหนึ่งสเต็ปทางการเมืองที่ต้องจับตาหลังจากนี้ว่า กรณีที่ดินอัลไพล์จะส่งผล สร้างแรงกระเพื่อมและสะเทือนต่อสถานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือไม่ โดยเฉพาะการถูกยื่นตรวจสอบประเด็นจริยธรรมนักการเมือง

รวมทั้งในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม มีความเป็นไปได้ว่าทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน น่าจะหยิบยกเรื่องที่ดินอัลไพน์ มาเป็นประเด็นยื่นซักฟอกนายกรัฐมนตรีแน่นอน

และอีกเรื่องสำคัญ นั่นคือ ความสัมพันธ์ของพรรคร่วมรัฐบาลจะยังคงแน่นปึ้กเหมือนเดิมต่อไปอีกหรือไม่