“โค้งสุดท้าย” เลือกตั้งนายก อบจ.วิเคราะห์ เจาะศึกรายพื้นที่ | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน

ลึกแต่ไม่ลับ | จรัญ พงษ์จีน

“โค้งสุดท้าย” เลือกตั้งนายก อบจ.

โฟกัสไปที่โค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้ง “นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด” หรือ “นายก อบจ.” ที่ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” เคาะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แทนชุดเก่าที่ครบวาระซึ่งค้างท่ออยู่ 47 จังหวัด ดีเดย์เสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ให้เป็นวันเลือกตั้งทั่วประเทศ

ประเทศไทยมี 76 จังหวัด ก่อนหน้านี้บรรดา “นกรู้” ชิงไขก๊อกออกจากตำแหน่งก่อนกำหนดครบเทอม มีการเลือกตั้งนำร่องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 29 จังหวัด มีการแยกย่อยซอยยิก

ปรากฏว่าอดีตนายก อบจ.เก่า กลับมายึดหัวหาดได้เกือบเรียบ ค่ายสีน้ำเงิน “พรรคภูมิใจไทย” เครือข่าย “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” กับ “พรรคเพื่อไทย” ค่ายเสื้อแดง พุ่งชนความสำเร็จมากที่สุด กวาดสัดส่วนไปเท่าๆ กันคือ พรรคละ 11 จังหวัด “พลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” พรรคละ 3 ที่นั่ง และตกเป็นของ “ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า” ยึดหัวหาดไป 1 จังหวัด

สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ที่จะระเบิดเถิดเทิงในไม่กี่วันข้างหน้า ต้องยอมรับว่าเวิร์กมากๆ คึกคักคะนองเดช อึกทึกครึมโครม ราวกับสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด “รังผี” หรือถิ่นแอนฟิลด์ “รังหงส์แดง” ยังไงยังงั้น เนื่องเพราะ “นายใหญ่ดูไบ-ทักษิณ ชินวัตร” ต้นตำรับประชานิยม ลดเพดานมาเขย่าขวด ลงพื้นที่มุ่งสร้างกระแสด้วยตัวเอง

ในตำแหน่งเล็กๆ เท่าเม็ดถั่ว “ผู้ช่วยหาเสียง” บริโภคเบี้ยเลี้ยงวันละ 200 บาท แต่ผลงานออกมางดงามพระรามหก เป็นที่ประจักษ์ เห็นจะจะจับต้องได้มาแล้วใน 2 จังหวัด เกือบหลับแต่กลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์ คือ “อุดรธานี” ปรากฏว่า “นายศราวุธ เพชรพนมพร” เข้าป้ายแบบนอนน้ำใส กับ “อุบลราชธานี” สนามการณ์พลิกโค้งสุดท้าย “นายกานต์ กัลป์ตินันท์” เบียดเข้าป้าย จึงกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญ ทำให้ “เพื่อไทย” ฮึกเหิมขนาดหนัก

ศึกชิงนายก อบจ.ที่เหลืออยู่ 47 จังหวัด ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จึงเชื่อมั่นว่าการได้ฉีดวัคซีนยี่ห้อ “ทักษิณ” แล้ว น่าจะกำชัยได้ไม่ยาก โดยวางพื้นที่เป้าหมายไว้มากถึง 16 จังหวัดด้วยกัน ประกอบด้วย 1.บึงกาฬ “นายภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น” 2.สกลนคร “นฤมล สัพโส” 3.นครราชสีมา “ยลดา หวังศุภกิจโกศล” 4.ศรีสะเกษ “วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ” 5. มุกดาหาร “บุญฐิณ ประทุมลี” 6.หนองคาย “วุฒิไกร ช่างเหล็ก” 7.นครพนม “อนุชิต หงษาดี”

8. มหาสารคาม “พลพัฒน์ จรัสเสถียร” น้องชายของ “เสี่ยโจ้-ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” 9.อำนาจเจริญ “ดะนัย มะหิพันธุ์” 10.เชียงราย “สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช” 12. แพร่ “อนุวัธ วงศ์วรรณ” 13. ลำปาง “ดวงรัตน์ โล่ห์สุนทร” 14.ลำพูน “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” 15.เชียงใหม่ “พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” 16.ปราจีนบุรี “ส.จ.จอย-ณภาภัช อัญชสาณิชมน”

คู่ชิงดำพื้นที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยทั้ง 16 ที่หมาย ส่วนใหญ่เกินร้อยละ 70 เป็นลูกข่ายของค่ายสีน้ำเงิน มีบ้างเล็กน้อยจากค่ายสี “พรรคประชาชน” แต่ส่วนใหญ่จะ “กระดูกคนละเบอร์”

พลิกข้ามสาย ย้ายข้ามขั้ว มาดูความไม่เที่ยงในการเลือกตั้ง มีความแปรปรวนไม่จีรังยั่งยืน ที่เกิดขึ้นกับ “พรรคประชาชน” ตอนเลือกตั้งใหญ่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อต้นปี 2566 ค่ายสีส้มกวาดที่นั่ง ส.ส.ไปถล่มทลายพลิกความคาดหมายมากถึง 151 ที่นั่ง จากเขตเลือกตั้ง 112 ที่นั่ง บัญชีรายชื่อ 39 ที่นั่ง หักลบเป็นสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชาชนพลเมืองที่มาใช้สิทธิ์เฉลี่ยเกือบร้อยละ 40

แต่พอมาสนามเลือกตั้งนายก อบจ. ปรากฏว่า “พรรคส้ม” ส่งผู้สมัครลงประดาบ 12 จังหวัด ได้แก่ 1. ” จีระศักดิ์ น้อยก่ำ” นายก อบจ.เลย 2. “ธรัตนชัย เฉลยคาม” อบจ.นครสวรรค์ 3. “ชัยประพันธ์ สิงห์ชัย” พะเยา 4. “วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์” พระนครศรีอยุธยา 5. “สิริพรรณ คุณประจักษ์นุกูล” พิษณุโลก 6. “สุทธิพจน์ เชื้ออภัยวงษ์” ชัยนาท 7. “ชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์” ราชบุรี 8. “คุณัญญา สองสมุทร” ระนอง 9. “วศินภัทร์ กิตตนันท์พาณิชย์” สุโขทัย 10. “สุกวี แสงเป่า” กาญจนบุรี 11. “คณิสร ขุริรัง” อุดรธานี 12. “สิทธิพล เลาหะวนิช” อุบลราชธานี

ปรากฏว่าดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน แพ้ป่าราบ สะกดคำว่า “ชนะ” ไม่เป็นทั้ง 12 อบจ. แต่ต้องนับถือพลังน้ำใจของเด็กๆ “พรรคประชาชน” ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องของความเร็ว แต่ความอดทดและการรอคอยที่ชาญฉลาด เพื่อสร้างโอกาส

แม้จะไม่เคยพุงชนความสำเร็จ มีแต่แตกพ่ายทางการศึก แต่ “พรรคส้ม” ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่ถอดใจ สู้ยิบตา เลือกตั้งนายก อบจ.ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 47 จังหวัด ส่งผู้สมัครลงสู้ในเกือบทุกจังหวัด

มีพื้นที่คาดหวังในหลายจังหวัด แม้จะริบหรี่ ที่ขออนุญาต “หวัง” ประกอบด้วย จังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก่อนเป็นลำดับแรก เริ่มจาก “เชียงใหม่” ส่ง “พันธุ์อาจ ชัยรัตน์” ลงสู้กับแชมป์เก่า “ส.ว.ก๊อง-พิชัย เลิศพงศ์อดิศร” ค่ายเพื่อไทย ลำพูน ส่ง “วีระเดช ภู่พิสิฐ” วัดดวงกับ “อนุสรณ์ วงศ์วรรณ” ทายาทเจ้าพ่อใบยาสูบ “ณรงค์ วงศ์วรรณ” ค่ายเพื่อไทย

ข้ามห้วยตามไปดูภาคกลาง-ปริมณฑล เริ่มต้นที่ชลบุรี ส่ง “ชุดาภัค วสุเนตรกุล” ชน “วิทยา คุณปลื้ม” แชมป์เก่า ระยอง คว้า “ดร.ถัง-ทรงธรรม สุขสว่าง” น้ำดีจากกระทรวงทรัพย์ ท้าชนบ้านใหญ่ “ปิยะ ปิตุเตชะ” อดีตนายก อบจ. 5 สมัย จันทบุรี ส่ง “มานะ ชนะสิทธิ์” สู้กับ “ธนภณ กิจกาญจน์” อดีตนายกเก่า

ขณะ “คาบสมุทร” คือ “สมุทรสงคราม” พรรคประชาชน ส่ง “นันทิยา ลิขิตอำนวยชัย” สู้กับแชมป์เก่า “กาญจน์สุดา ปานะสุทธะ” สมุทรปราการ ได้ “หมอเอ๊กซ์-นพดล สมยานนทนากุล” แข่งกับ “สุนทร ปานแสงทอง” และสมุทรสาคร ส่ง “เชาวริน ชาญสายชล” ชิงชัยกับ “อุดม ไกรวัตนุสสรณ์”

ล่องใต้ พื้นที่คาดหวังถึงสูงมาก ได้ อบจ.ภูเก็ต ที่เพื่อไทยชนะสนามใหญ่ยกจังหวัด 3 ที่นั่ง ส่ง “นพ.เลอศักดิ์ ลีนะนิธิกุล” สู้กับ “เรวัต อารีรอบ” อบจ.พังงา ส่ง “สุทธโชค ทองชุมนุม” อดีตประธานหอการค้าพังงา สู้กับ “ธราธิป ทองเจิม” ค่ายสีน้ำเงิน

ที่น่าจับตา และกล่าวขานกันสูงมากคือ อบจ.สุราษฎร์ธานี ที่ส่ง “หมอมุดสัง-นพ.จิรชาติ เรืองวัชรินทร์” ลงทำศึก ที่มั่นใจมากอีกพื้นที่ก็เพราะว่ามีโอกาสสูงที่จะเข้าป้าย เนื่องจากคู่แข่ง 2 คนสู้กันเองหนักระหว่าง 2 บ้านใหญ่ คือ “พงษ์ศักดิ์ จ่าแก้ว” กับ “โสภา กาญจนะ” โอกาสที่ “หมอมุดสัง” จะได้สวมบท “ตาอยู่” จึงมีเปอร์เซ็นต์สูง

อย่างไรก็ตาม ขอยืมวลีเด็ดของ “พล.อ.มงคล อัมพรพิศิษฏ์” อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ลูกป๋าเปรม กับประโยคที่ว่า “ทูบีแฟร์” มาใช้ เพื่อเอาใจช่วยพรรคสีส้ม

อยากให้การเลือกตั้งนายก อบจ. 47 จังหวัด ขอภาวนาให้ประสบชัยชนะอย่างน้อยสัก 1 จังหวัด 1 ที่นั่ง

ต้องการให้พรรคประชาชนนำมาเป็นไอดอลในการบริหารท้องถิ่นรูปแบบใหม่ ผิดแผกแตกต่างไปจากการใช้บริการ “บ้านใหญ่” มายาวนานหลายทศวรรษ

ภาคไหน-จังหวัดใด จะเริ่มนับหนึ่ง 1 กุมภาพันธ์ จะได้คำตอบ