
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | มุกดา สุวรรณชาติ |
เผยแพร่ |
หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว | มุกดา สุวรรณชาติ
จีน…ไทย…อเมริกา
เกมการเมืองและการค้า
ปัจจุบันความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกา กำลังก้าวสู่ความยุ่งยากและซับซ้อน เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นสู่อำนาจอีกครั้ง และใช้นโยบายทำทุกอย่างเพื่ออเมริกา ในขณะที่คู่ขัดแย้งหลักคือจีน
การดำรงความเป็นกลางในท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก
รัฐบาลและผู้นำ จึงจำเป็นจะต้องมีทั้งนโยบายและวิธีปฏิบัติพร้อมทั้งการตัดสินใจที่ดี เพราะจะมีผลได้และเสีย ต่อคนทั้งประเทศ
ความสัมพันธ์
ของไทย กับอเมริกาและจีน
ไม่มี มิตร-ศัตรู ที่ถาวร
หลังสงครามโลก อเมริกาก็พยายามเข้ามาดึงไทยเป็นแนวร่วมทางการทหาร
พ.ศ.2497 ประเทศไทยได้เข้าร่วมองค์การ SEATO เพื่อเป็นพันธมิตรในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งนั่นก็คือนโยบายปิดล้อมประเทศจีน
ปี 2505 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สหรัฐอเมริกาสัญญาว่าจะปกป้องประเทศไทยและให้ทุนสนับสนุนทางการทหาร
ทางปฏิบัติคือ การตั้งฐานทัพในประเทศไทยและใช้เป็นฐานบินส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดในสงครามเวียดนามเป็นเวลาหลายปี (ประมาณปี 2504-2518) เช่น ฐานทัพอากาศตาคลี ฐานทัพอากาศโคราช ฐานทัพอากาศอุดรฯ สนามบินทหารเรืออู่ตะเภา จ.ระยอง ฯลฯ
จนกระทั่งสหรัฐได้พ่ายแพ้ในปี 2518 สงครามเวียดนามจบ
ส่วนจีน ถ้าไม่นับประวัติศาสตร์สมัยโบราณอันยาวนาน ไทยฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศจีนในปี 2518 ยุคที่นายกฯ คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นรัฐบาล เพราะเมษายน 2518 ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดเวียดนาม กัมพูชา และลาว สหรัฐอเมริกาแพ้สงครามอินโดจีน
30 มิถุนายน 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ รมว.ต่างประเทศ เดินทางไปปักกิ่ง พบกับโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรี และเหมา เจ๋อตง
แต่ 6 ตุลาคม 2519 ก็เกิดการรัฐประหารโดย CIA และทหารของไทย ทำให้เกิดสงครามจรยุทธ์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่ร่วมกับนักศึกษาที่หนีเข้าป่า โดยใช้จีน ลาว กัมพูชา เป็นแนวหลัง ความสัมพันธ์ไทยจีนจึงเสื่อมลงไปชั่วคราว
5 พฤศจิกายน 2521 เติ้ง เสี่ยวผิง รองนายกรัฐมนตรีจีนเยือนไทย
25 ธันวาคม 2521 กองทัพเวียดนามยึดพนมเปญ ไล่เขมรแดงออกไป ช่วงนั้นเวียดนามมีความขัดแย้งกับจีนอย่างหนัก ไทยกับจีนจึงได้ร่วมมือกันต้านเวียดนาม
29 มกราคม 2522 เติ้ง เสี่ยวผิง เยือนสหรัฐอเมริกา
7 กุมภาพันธ์ 2522 จีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนามกินเวลา 16 วัน
1 กรกฎาคม 2522 จีนสั่งปิดสถานีวิทยุ สปท.ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ตั้งอยู่ ณ เมืองคุนหมิง จากนั้นความสัมพันธ์ของรัฐบาลไทยกับจีนก็พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆ
ปี พ.ศ. 2525 มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาประชาธิปไตย โดยการผลักดันของกระทรวงการต่างประเทศของไทย สหรัฐและจีน โดยมีสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ
2532 เวียดนามถอนทัพออกจากกัมพูชา
ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน
รักกันหรือเกลียดกันก็เพราะผลประโยชน์
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป การเมืองก็เปลี่ยน หลังจากที่จีนเปิดประเทศและปรับมาใช้ระบบทุนนิยม แบบที่มีการแข่งขัน ภายใต้การควบคุมของรัฐ จีนก็กลายเป็นประเทศเนื้อหอม
นายทุนจากเอเชีย ยุโรปและอเมริกาก็หลั่งไหลเข้าไปในจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่และมีแรงงานราคาถูกจนกระทั่งจีนฟื้นประเทศขึ้น กลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลก
กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่าร้อยล้านหน่วยที่เคยสงบนิ่งอยู่ในวงล้อม บัดนี้ได้มีทั้งเทคโนโลยีและทรัพยากรที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศ จึงกลายเป็นกำลังผลิตขนาดใหญ่มหาศาลแข่งกัน แม้กระทั่งผู้ผลิตในจีนจำนวนมากยังต้องล้มละลาย ถ้าแพ้ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ล้นเกินความต้องการของประชากรจีน
หรือแม้แต่ทั้งโลก สินค้าจากประเทศจีนจึงทะลักออกไปทั่วโลกในราคาถูก (เช่น เสื้อผ้า ชิ้นละ 20 บาท) ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าหลายอย่างทั้งสิ่งทอและเครื่องใช้ไม้สอย ที่อยู่ในประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบโดยตรงถึงขนาดกิจการล้มละลายไปตามกัน
แม้แต่การผลิตสินค้าเกือบที่เคยถูกผูกขาดอยู่ในกลุ่มที่มีเทคโนโลยีสูง ก็ถูกทำลายการผูกขาดนั้นอย่างสิ้นเชิง กระทบกระเทือนกลุ่มทุนทั้งโลก นายทุนฝรั่งถือว่าโดนหนักที่สุดทั้งอเมริกาและยุโรป ญี่ปุ่นก็โดนไปด้วย
เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีน ไปทำลายฐานการผลิตรถยนต์เดิมในหลายประเทศ จนมีแนวโน้มว่าจะต้องปิดโรงงาน
การโต้ตอบของอเมริกา
เมื่อจีนพัฒนาจนได้เปรียบดุลการค้าจากประเทศต่างๆ ในโลก ทำให้อเมริกาเปิดนโยบายต่อต้านจีน เริ่มตั้งแต่ 2009 จนบัดนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะใช้ไม้แข็งในเรื่องภาษีกับประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกา ซึ่งจะมีผลกระทบกับสินค้าที่มาจากทั่วทั้งโลก การเคลื่อนย้ายการลงทุนออกจากจีนจึงกำลังเกิดขึ้นก่อนประเทศอื่น
ขณะเดียวกันสินค้าที่ผลิตจากประเทศจีนจะโดนกำแพงภาษีเล่นงานจนทะลักมายังประเทศต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งไทย
สงครามค่าเงินที่ประเมินกันว่าเป็นความต้องการของจีนและรัสเซียที่ต้องการทำลายการผูกขาดตลาดการเงินโดยใช้เงินดอลลาร์ของสหรัฐครอบงำการค้าขายในตลาดสากล ซึ่งสหรัฐอเมริกาเองทุกวันนี้ก็เป็นหนี้ไปทั่วโลก แต่มีความสามารถในการพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาใช้ซื้อสินค้าได้ทั่วโลกและก็ยังมีคนมีความต้องการ
ความรู้สึกที่ถูกเอาเปรียบของประเทศต่างๆ ทำให้เกิดแรงต่อต้านมากขึ้นจึงไปเข้าทางของจีนและรัสเซีย ดังนั้น การตั้งกลุ่มประเทศที่ใช้ชื่อว่า BRICS คงจะเดินหน้าเพื่อสร้างระบบการเงินใหม่ที่จะถ่วงดุลเงินดอลลาร์ของสหรัฐ แม้จะยังดูว่าไม่มีผลมาก แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศต่อต้านประเทศที่เข้าร่วมกับกลุ่ม BRICS
ขนาดเวียดนามที่สนิทกับรัสเซียมาก ส่งใบสมัครไปแล้วยังต้องถอน เพราะต้องการกลุ่มนายทุนที่ย้ายจากจีนเข้ามาลงทุนในเวียดนามแทนจำนวนมาก
จากนี้ไปคือ เกมการต่อรอง
ทั้งการเมือง การค้า
ความเป็นจริงทางอำนาจในโลกยุคนี้ คนที่คุมนโยบายคือนายทุนของทุกประเทศ พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการปะทะแตกหักจนเกิดความเสียหายย่อยยับ การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ อะไรที่พูดไปล้วนปรับเปลี่ยนได้ สิ่งที่อเมริกาและจีนปะทะกันจะไม่ใช่เป็นแบบรัสเซียบุกยูเครน เพราะผลประโยชน์และผลเสียที่ได้รับกระทบถึงรัฐบาลและประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
นโยบายต่างประเทศของหลายประเทศตอนนี้มีลักษณะแกว่งไปแกว่งมาตามสถานการณ์ ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ยิ่งสหรัฐอเมริกาออกแรงบีบการขยายอิทธิพลของจีนในทะเลจีนใต้และ Pacific มากเท่าไร จีนก็จำเป็นจะต้องเร่งเปิดทางออกสู่มหาสมุทรอินเดียให้มากขึ้นเท่านั้น จีนจึงต้องการมิตรแบบพม่า ปากีสถาน และไทย ที่มีทางออกสู่มหาสมุทรอินเดีย
ไม่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศข่มขู่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองก็ยังจะต้องคบกับจีนอย่างเหนียวแน่น ในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมทิ้งอเมริกา และทั้งสองประเทศก็ยังเห็นความสำคัญของประเทศไทย จะไม่ยอมทิ้งไทยไปง่ายๆ ไม่ว่าไทยจะใช้ท่าทีอย่างไร แต่ต้องยื่นสองมือออกมาจับกับ 2 มหาอำนาจ
การต่อสู้ทุกวันนี้ผลประโยชน์เป็นตัวชี้ขาด วันนี้ไทยได้เปรียบดุลการค้าอเมริกาเป็นอันดับ 12 ดังนั้น คงต้องรับผลกระทบจากการขึ้นภาษีบ้าง
ทันทีที่เริ่มเกม พวกเขาจะมีการเจรจาต่อรองกันแน่นอน สิ่งที่ประเทศเล็กอย่างไทยต้องทำคือตามเกมให้ทัน เพราะเราไม่ใช่ผู้กำหนดเกม แต่จะได้รับผลกระทบเมื่อพวกเขาต่อรองกันจบลง และเกมแบบนี้ก็จะไม่จบลงในยกเดียว แต่จะมีการยืดเยื้อไปอีกหลายยก จากนี้คงได้เห็นฝีมือของผู้ช่วยนายกฯ
อีกไม่กี่วันนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ก็คงเดินทางไปเยือนจีนอีกครั้ง และคงจะมีการกระชับความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ มากยิ่งขึ้น และหลังจากนั้นก็คงมีรายการไปเยี่ยมเยือนอเมริกา
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022