ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ
สัญลักษณ์การศึกษาชายแดนใต้
ที่นายกฯ อิ้งค์ลงมาเยือน
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ทุกท่าน
16 มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนและไปที่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ใจกลางเมืองยะลา
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ไม่เพียงแต่ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญในวงการศึกษาชายแดนใต้
แต่ยังเป็นสัญญาลักษณ์สำคัญในแง่ความมั่นคงตลอดเหตุการณ์ 20 ปีไฟใต้ มีอดีตผู้นำจิตวิญญาณ อย่างอุสตาสสะแปอิง บาซอ ที่รัฐมองเป็นผู้นำขบวนการคนเห็นต่างจากรัฐ แต่คนในพื้นที่มองท่านเป็นวีรบุรุษ โดยเฉพาะการศึกษาและเคยเป็นครูและผู้บริหารโรงเรียนแห่งนี้
โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธินั้นตั้งอยู่เลขที่ 762 ถ.สิโรรส อ.เมือง จ.ยะลา เดิมเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม (ปอเนาะ) เพียงอย่างเดียว
ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สอนทั้งวิชาศาสนาและสามัญ
เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ มีนักเรียนมุสลิมจากทั่วประเทศกว่า 5,000 คน
ติด 1 ใน 10 โรงเรียนที่มีนักเรียนเอกชนมากที่สุดในประเทศไทย
ตลอด 60 กว่าปี โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ได้ผลิตบุคลากรทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งตำรวจ และทหารที่มาจาก (น่าจะเป็น) โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
อีกทั้งนักวิชาการระดับปริญญาเอกที่จบ (อีกทั้งทำงาน) จากในประเทศและต่างประเทศ มากที่สุดเช่นกันเคยผ่านสถาบันแห่งนี้ นักเรียนโรงเรียนนี้คว้ารางวัลมากมายทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าด้านศาสนา สามัญ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
เช่นล่าสุดได้รับรางวัลรางวัลชนะเลิศด้านอาหาร ระดับมัธยมศึกษา จากเวทีประกวดสิ่งประดิษฐ์ระดับเยาวชน Thailand New Gen Inventors Award : I-New Gen Award 2023 กับผลงาน “ผลิตภัณฑ์ผงกำจัดพยาธิในอาหารจากใบข่าอ่อนธรรมชาติ (Boega)” ในวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ของคนที่ชอบอาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ ที่อาจพบพยาธิซึ่งเป็นสาเหตุของหลายๆ โรคที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
ผลงานนี้จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันสุขภาพของประชาชน ลดอาการเจ็บป่วย รวมถึงลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคด้วย
อาจารย์รอซี เบ็ญสุหลง ผู้อำนวยการ / ผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ เปิดเผยว่า
“โรงเรียนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ท่านนายกฯ มาเยี่ยมโรงเรียนครั้งนี้พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรี คิดว่า การเดินทางลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน ครู บุคลากรทุกท่าน ซึ่งครั้งนี้นับเป็นนายกรัฐมนตรีท่านที่ 4 ที่มาเยี่ยมทางโรงเรียน ตั้งแต่ นายกฯ ชวน หลีกภัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และท่านที่ 4 คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี”
ขณะเดียวกัน นักเรียนโรงเรียนธรรมวิทยา ต่างตื่นเต้น และดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เห็นและสัมผัสนายกรัฐมนตรี ที่จะมาเยี่ยมโรงเรียนอย่างใกล้ชิดในครั้งนี้
ด.ญ.นาว้าล สามะ ชั้น ม.2/24 บอกว่า รู้สึกดีใจ ตื่นเต้น และเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่านายกฯ จะมาส่วนตัว
นายฟัครุดดีน บอตอ อดีต ส.ว.ถูกยิง ขึ้นศาลทหารกว่า 15 ปีกับคดีที่ยังไร้จุดจบ เคยเสนอการแก้ปัญหาใต้อย่างยั่งยืน ว่าจะต้องเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการศึกษา ดั่งที่อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เคยใช้นโยบายการต่างประเทศร่วมกับประเทศกัมพูชา “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” เพราะตลอดไฟใต้ 20 ปี รัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุด แถมหมดงบประมาณหลายแสนล้าน โดยใช้นโยบายการทหารและความมั่นคง แทนที่จะใช้งบประมาณพัฒนาการศึกษา แต่กลับใช้งบประมาณซื้ออาวุธ เป็นต้น
ผู้นำศาสนาในพื้นที่ท่านหนึ่งสะท้อนว่า
“โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีเช่นนี้ยังมีอีกหลายแห่ง ทั้งในพื้นที่ชายแดนใต้และทั่วประเทศ แต่ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งที่คณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของสภา เคยทำวิจัยพบว่ายิ่งรัฐบาลส่งเสริมอุดหนุนโรงเรียนเอกชน รัฐบาลจะยิ่งประหยัดงบประมาณด้านการศึกษาลงเป็นหมื่นล้านบาททั่วประเทศ เพราะว่าโรงเรียนเอกชนเขาลงทุนอาคารสถานที่ ห้องเรียน โต๊ะ เก้าอี้ รัฐบาลไม่ต้องลงทุนเอง”
“งบฯ ที่ประหยัด ควรเอามาอุดหนุนครูให้ดี อุดหนุนเครื่องมือการเรียนการสอนที่เขาจำเป็น รวมทั้งหลักสูตรการเรียนการสอนในชายแดนภาคใต้ควรต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพื้นที่ ตรงกับผลสัมฤทธิ์ของทั้งประเทศและผลสัมฤทธิ์ของการเรียนศาสนา การเรียนการสอนที่สอดคล้องกับศักยภาพและความต้องการของประชาชน”
ประเด็นการศึกษากับความมั่นคงในชายแดนใต้ เคยถูกสะท้อนจากเยาวชน ผู้นำการศึกษา ผู้นำศาสนา ประชาสังคม รวมแม้แต่กลุ่มชาวพุทธ ที่ผ่าน กมธ.สันติภาพชายแดนใต้ ที่มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธานว่า
“นโยบายการศึกษาและการบริหารจัดการ ถูกรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง ไม่เปิดกว้างให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมเท่าที่ควร หลักสูตรการศึกษาส่วนกลางที่ไม่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมและความต้องการของสังคมชายแดนใต้เท่าที่ควร กระทบต่ออัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น”
“การกระจายทรัพยากร เช่น งบประมาณ บุคลากร และโอกาสในการยกระดับคุณภาพทางการศึกษาไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระดับคุณภาพการศึกษาของเด็กถูกวัดว่าด้อยกว่าที่อื่น”
“นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบตลอดกว่า 20 ปี มีกฎหมายพิเศษที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการศึกษาให้สอดคล้องตามปรัชญาและหลักการศึกษาที่แท้จริง ทำให้เกิดช่องว่างในการใช้การศึกษาเพื่อสร้างความเข้าใจ เกิดการแบ่งแยก และสร้างความเกลียดชังกันในสังคม”
“ดังนั้น ข้อเสนอหนึ่งคือ การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการศึกษา ก่อนกระจายอำนาจการปกครอง ควรกระจายอำนาจทางการศึกษาชายแดนภาคใต้ก่อนเพื่อก่อให้เกิดรูปแบบการบริหารจัดการการศึกษาที่พึงปรารถนา แนวทางการกระจายอำนาจทางการศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของพื้นที่ จึงมีความสำคัญยิ่ง”
พื้นที่ปาตานี/จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ที่มีบริบทเฉพาะทางการศึกษา โดยสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการศึกษาทางอิสลาม โดยเป้าหมายของการเรียนรู้ที่คาดหวัง (Learning Outcomes ; LOs) ประการสำคัญ คือ การพัฒนามนุษย์ทั้งทางกายและทางจิตใจอย่างสอดประสานกัน
ด้วยเหตุนี้ การจัดโครงสร้างของระบบการศึกษา ตลอดทั้งหลักสูตร และรายวิชา ตั้งแต่การศึกษาระดับปฐมวัยไปจนถึงอุดมศึกษา จำเป็นต้องคิดออกแบบให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นเลิศทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมีดุลยภาพ
การบริหารจัดการหลักสูตร ผู้เรียน บุคลากรสายวิชาการและสายสนับสนุน ตลอดทั้งโครงสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ จำเป็นต้องถ่ายโอนอำนาจจากส่วนกลาง ไปสู่การออกแบบกลไกบริหารจัดการ ที่ให้การศึกษาระดับท้องถิ่นเป็นศูนย์กลาง
อันทำให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับบริบทเฉพาะของพื้นที่ และยืนยันเจตนารมณ์ในฐานะตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ตนเองได้โดยแท้จริง
ซึ่งคงมิใช่เฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ทุกพื้นที่การศึกษาในทุกภูมิภาคของประเทศไทยควรมีการกระจายอำนาจ โดยเป็นรูปแบบที่ให้ประชาชนมีอำนาจและมีส่วนร่วมกำหนดหลักเกณฑ์ให้คนส่วนน้อยในพื้นที่มีสิทธิประโยชน์เท่าเทียมนั่นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022