TikTok ไม่บี้แบน แม้ถูก Ban

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

Cool Tech | จิตต์สุภา ฉิน

Instagram : @sueching

Facebook.com/JitsupaChin

 

TikTok ไม่บี้แบน

แม้ถูก Ban

 

โซเชียลมีเดีย TikTok ได้กลายเป็นเสมือนส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้ใช้งานจำนวนมากทั่วโลก ถ้าจะดูสถิติตัวเลขผู้ใช้งานว่าประเทศไหนมีมากที่สุดหากไม่นับประเทศจีน อันดับหนึ่งก็คืออินโดนีเซีย ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก และเวียดนาม โดยมีประเทศไทยตามมาไม่กี่อันดับหลังจากนั้น

ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าชาว TikToker ในสหรัฐอเมริการู้สึกหดหู่และสิ้นหวังในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาที่แอพพลิเคชั่น TikTok ปิดให้บริการในประเทศก็คงจะไม่ผิด ครีเอเตอร์บน TikTok ต่างก็อัดคลิปวิดีโอสั้นร่ำลาผู้ติดตามพร้อมด้วยความหวังว่าจะพบกันใหม่

ก่อนหน้าที่ TikTok ในสหรัฐจะปิดตัวลง ผู้คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ลี้ภัย TikTok ก็พยายามดิ้นรนหาทางเลือกใหม่ให้กับตัวเอง โดยส่วนใหญ่หันไปซบอกแอพพลิเคชั่น Xiao Hong Shu หรือที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า RedNote ซึ่งก็เป็นแอพพ์จากจีนเช่นเดียวกัน แต่มีลักษณะพิเศษคือการผสมผสานเสน่ห์ของหลายแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน จนทำให้ยอดผู้ใช้งานของ RedNote พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

สาเหตุที่ TikTok ถูกแบนในสหรัฐ มาจากคำตัดสินของศาลสูงที่ยืนยันกฎหมายซึ่งกำหนดให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ต้องขายกิจการให้ผู้ซื้อในสหรัฐ หากไม่ทำเช่นนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด แอพพ์ TikTok ก็จะถูกแบนในประเทศ

ที่จำเป็นต้องยืนกรานให้ ByteDance ขายกิจการให้กับผู้ซื้อในสหรัฐ ก็เนื่องจากทางการของสหรัฐเกรงว่าการที่ TikTok เป็นของ ByteDance ซึ่งดำเนินธุรกิจในจีนจะทำให้ทางการจีนสามารถเรียกขอข้อมูลอะไรก็ได้

หรือ TikTok อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนซึ่งอาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐ ร้องห่มร้องไห้กันยังไม่ถึง 1 วันดี แอพพลิเคชั่น TikTok ก็กลับมาให้บริการอีกครั้ง เมื่อเปิดเข้าไปในแอพพ์ก็จะพบกับข้อความต้อนรับการกลับมา

พร้อมกับขอบคุณประธานาธิบดี Donald Trump ที่เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายแบนออกไป ซึ่งการขยายเส้นตายครั้งนี้จะทำได้สูงสุด 90 วัน

ดังนั้น ก็จะต้องติดตามกันว่า ByteDance จะรับมืออย่างไรต่อไป ที่สุดแล้วจะยอมขายหรือไม่

ชะตากรรมของ TikTok ในสหรัฐจะเป็นอย่างไรต่อไปยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ก่อนหน้านี้ ByteDance ก็เคยต้องดึงแอพพ์ออกจากอีกประเทศที่เคยมีจำนวนผู้ใช้งานที่เยอะที่สุดมาก่อนแล้ว นั่นก็คือการถอด TikTok ออกจากประเทศอินเดียในปี 2020

ณ เวลานั้น อินเดียถือเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ TikTok โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 200 ล้านคน ในขณะที่ในสหรัฐมีผู้ใช้งานอยู่ที่ประมาณ 170 ล้านคน

การแบนครั้งนั้นเกิดจากข้อพิพาทชายแดนระหว่างอินเดียและจีน ส่งผลให้รัฐบาลอินเดียประกาศแบน TikTok และแอพพลิเคชั่นจากจีนอีกกว่า 50 แอพพ์ โดยได้อ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของประเทศเช่นเดียวกัน

เมื่อฝุ่นจากการแบนหายตลบก็เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างขึ้นกับโครงสร้างของโซเชียลมีเดียในประเทศอินเดีย หลักๆ ก็คือเป็นการเปิดทางให้กับโซเชียลมีเดียคู่แข่งที่เป็นของท้องถิ่นคือพัฒนาโดยคนอินเดียเองให้ได้มีโอกาสในการแข่งขันบ้าง

 

ทันทีที่ทางการอินเดียแบน TikTok อินฟลูเอนเซอร์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ระดับอินเตอร์ที่มีผู้ติดตามอยู่นอกประเทศก็หาทางรอดด้วยการ ‘มุด VPN’ เพื่อที่จะโพสต์คลิปใหม่ๆ ลงบน TikTok ต่อไปได้

แต่อินฟลูฯ เหล่านั้นก็ยังไม่ใช่กลุ่มใหญ่ เพราะตั้งแต่คนอินเดียเริ่มรู้จัก TikTok ในปี 2017 นับว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โครงสร้างสาธารณะทั้ง 4G และ 5G พร้อมให้ใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ใช้สมาร์ตโฟนไม่ว่าจะอยู่ในเมืองใหญ่หรืออยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญออกมาก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือได้

หลายๆ คนเริ่มเรียนรู้ที่จะใช้สมาร์ตโฟนอัดคลิปวิดีโอสั้นเพื่อถ่ายทอดชีวิตของตัวเองให้ผู้ติดตามได้รับรู้ ทำให้ TikTok ในอินเดียมีคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งเรื่องภาษาถิ่นไปจนถึงวิถีชีวิต และการเพิ่มยอดผู้ติดตามในตอนนั้นก็ยังทำได้ง่าย จน TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่คนอินเดียชื่นชอบเป็นอย่างมาก

ครีเอเตอร์หลายต่อหลายล้านคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ไม่มีความจำเป็นต้องมุด VPN ไปหาผู้ติดตามในต่างประเทศ ประจวบเหมาะกับธุรกิจท้องถิ่น อย่างแอพพลิเคชั่น MX TakaTak, Chingari หรือ Moj ก็เข้ามาช้อนรับคนกลุ่มนี้ไปอยู่บนแอพพ์ของตัวเอง หลายๆ แอพพ์เสนอค่าตอบแทนให้กับครีเอเตอร์ที่โพสต์คอนเทนต์ยอดนิยม

ทำให้จำนวนผู้ใช้งานของแอพพ์ที่พัฒนาโดยคนอินเดียเองก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ถึงแม้ว่าจะได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่เว็บไซต์ TIME ก็รายงานว่าท้ายที่สุดก็ต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเกินจะต้าน ซึ่งก็คือโซเชียลมีเดียสัญชาติอเมริกันทั้งหลาย อย่างเช่น YouTube ที่เปิดตัวฟีเจอร์วิดีโอสั้น Shorts ไม่นานหลังจาก TikTok ในอินเดียถูกแบน ทำให้ผู้คนหลั่งไหลไปหาอย่างท่วมท้น

Instagram ในอินเดียเองก็สู้ด้วยการดันฟีเจอร์วิดีโอสั้น Reels แบบเต็มตัว โดยยอมยกให้อินเดียเป็นประเทศแรกที่ได้แอพพลิเคชั่นแบบแยก Reels ออกมาเป็นแท็บต่างหากให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

จนท้ายที่สุด แอพพลิเคชั่นท้องถิ่นที่อาสาเข้ามาเป็นตัวเลือกแทน TikTok ในตอนต้นก็ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละราย

และอินเดียก็กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับทั้ง YouTube และ Instagram ไปโดยปริยาย

 

ส่วน TikTok เป็นอย่างไรหลังจากถูกอินเดียแบนนั้นเราก็น่าจะได้เห็นกันแล้ว

TikTok ที่ถูกแบนออกจากตลาดขนาดใหญ่อย่างอินเดียก็ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปครอบคลุมประเทศอื่นๆ ได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ ByteDance จะไม่สนใจตัวเลือกของการขายธุรกิจให้กับผู้ซื้อในสหรัฐ

ขนาดตลาดที่ใหญ่กว่าอย่างอินเดียก็ยังเคยถูกเตะออกมาแล้ว นอกจากจะไม่ตายแล้วยังแข็งแกร่งขึ้นอีกต่างหาก

ดังนั้น ในระหว่างที่การเมืองของสหรัฐยังไม่นิ่ง

ByteDance ก็เพียงแค่รอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมๆ ไปกับการขยายธุรกิจต่อแบบไม่หยุดยั้ง