ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
ผู้เขียน | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ |
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร
Bitcoin และ Blockchain ในภาครัฐ
: การปฏิวัติหรือความเสี่ยง?
ในโลกแห่งเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ มีนวัตกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่สร้างความสนใจ และความคิดเห็นที่แตกแยกได้เท่ากับ Bitcoin
นวัตกรรมคริปโตที่เริ่มต้นจากการทดลองโดยบุคคลนิรนามในปี 2009
เพื่อแก้ปัญหาการพึ่งพาตัวกลางในระบบการเงินแบบรวมศูนย์ ไปสู่ระบบที่ทำงานแบบกระจายศูนย์
โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางและการควบคุมจากศูนย์กลาง
ต้องแยกเรื่องของ Bitcoin และ Blockchain เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin ออกจากกันแล้วค่อยพูดทีละเรื่อง
Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ของรัฐบาล
: ความหวังและความเสี่ยง
ที่ผ่านๆ มาประเทศที่ยอมรับการใช้บิตคอยน์มักจะเป็นประเทศที่ค่าเงินอ่อนแอ อัตราเงินเฟ้อสูง หรือไม่มีสกุลเงินของตนเอง เพราะได้ประโยชน์จากการถือบิตคอยน์มากกว่าประเทศที่ค่าเงินมีเสถียรภาพ
แต่เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลหลายประเทศเริ่มมีท่าทีเป็นมิตรกับคริปโตมากขึ้น
ได้มีการนำเรื่องบิตคอยน์และคริปโตเข้ามาสู่การพิจารณาในระดับรัฐบาล โดยคาดหวังการสร้างประสิทธิภาพและการเติบโตในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
หลายประเทศกำลังพูดถึงการยอมรับบิตคอยน์เข้าไปในทุนสำรองระหว่างประเทศ
หลังจากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมากล่าวสนับสนุนให้บิตคอยน์เป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์
ซึ่งในปี 2024 วุฒิสมาชิกสหรัฐก็ได้มีการนำเสนอร่างกฎหมาย (อยู่ระหว่างพิจารณา) เกี่ยวกับการจัดหา ครอบครอง และเก็บรักษา Bitcoin รวมทั้งกำหนดให้รัฐบาลจัดซื้อบิตคอยน์จำนวน 1 ล้านบิตคอยน์ตลอดเวลา 5 ปี มาเก็บไว้ในทุนสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์
สวิตเซอร์แลนด์ได้มีการรณรงค์โดยกลุ่มคนที่ต้องการให้ธนาคารกลางสวิสเพิ่มบิตคอยน์ในสินทรัพย์ถือครองในทุนสำรองของชาติ
ซึ่งหากรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนได้ 1 แสนคนก็จะทำให้มีการทำประชาพิจารณ์เพื่อตำไปสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป
ในทำนองเดียวกัน บราซิล โปแลนด์ และฮ่องกง ก็กำลังมีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้เพิ่มบิตคอยน์เข้าไปในทุนสำรอง
หากดูตัวอย่างจากเอลซัลวาดอร์ ประเทศที่ได้ก้าวสู่การใช้ Bitcoin อย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว ซึ่งผ่านกฎหมายให้ Bitcoin สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในปี 2021 และเริ่มสะสมเข้าไปเป็นสินทรัพย์สำรองเชิงกลยุทธ์ของประเทศ
ล่าสุด เอลซัลวาดอร์ประสบปัญหาและได้ขอกู้เงิน 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก IMF และยอมรับเงื่อนไขการปฏิรูปกฎหมายให้เอกชนเลือกที่จะไม่รับชำระบิตคอยน์ได้โดยสมัครใจ
ส่วนภาครัฐจะจำกัดการซื้อและการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ด้วย
ก็เหมือนกับว่า เอลซัลวาดอร์กำลังย้อนหลังกลับถนนบิตคอยน์ที่เดินไป

ข้อดีข้อเสียของ Bitcoin
เป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของประเทศ
บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ประเภทใหม่ที่อาจช่วยกระจายความเสี่ยงด้านราคาได้มากขึ้นเพราะราคาเคลื่อนไหวโดยไม่สอดคล้องกับราคาทองคำ ราคาเงินสกุลใดสกุลหนึ่ง ราคาพันธบัตร ราคาหุ้น และช่วยลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐ
การที่บิตคอย์มีจำนวนจำกัดสูงสุดที่ 21 ล้านบิตคอยน์ ทำให้ถูกเปรียบเสมือนทองคำดิจิทัล ซึ่งปราศจากปัญหาเงินเฟ้อจากการถือครองสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินที่อาจถูกพิมพ์ออกมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อสำคัญอีกข้อคือ บิตคอยน์อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลประเทศใดๆ ทำให้การถือครองบิตคอยน์ปลอดภัยจากการถูกคว่ำบาตรหรือแทรกแซงโดยอำนาจรัฐของประเทศอื่น
ข้อเสียที่อาจทำให้บิตคอยน์ไม่เหมาะที่จะเป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของประเทศ คือ ราคาบิตคอยน์นั้นผันผวนมาก ทำให้ทุนสำรองของประเทศไม่สามารถถือบิตคอยน์ในสัดส่วนที่สูงเพราะการลดกะทันหันของบิตคอยน์อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของชาติได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาทางเทคนิคอื่นๆ เช่น เครือข่ายบิตคอยน์ยังไม่เร็วพอที่จะรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากๆ พร้อมๆ กัน
ปัญหาสภาพคล่องของตลาด เทียบกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิมเช่น ทองคำ หรือพันธบัตร แล้วตลาดบิตคอยน์ยังไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับปริมาณธุรกรรมมหาศาลได้
และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม กลไกการทำงานของบิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ซึ่งอาจขัดแย้งกับเป้าหมายทางด้านภูมิอากาศและความยั่งยืนของชาติได้
ยิ่งไปกว่านั้น การเก็บรักษาบิตคอยน์มูลค่ามหาศาลไว้ในทุนสำรองนั้นมีความเสี่ยงจากการโดนจารกรรมจากแฮ็กเกอร์หรือทุจริตโดยคนใน ทำให้ทุนสำรองหายไปหมดได้ในชั่วพริบตา
ทำให้ต้องมีมาตรการควบคุมความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์อย่างเข้มงวด
ศักยภาพแห่งการเปลี่ยนแปลง
ของ Blockchain
ในขณะที่การยอมรับบิตคอยน์ยังเป็นเรื่องถกเถียง
บล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังกลับได้รับการยอมรับในวงกว้าง
ด้วยประโยชน์อันเป็นที่ประจักษ์ในเรื่องการไม่ต้องมีตัวกลาง ความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลทั่วโลก
เอสโตเนีย ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นผู้นำด้านดิจิทัล รัฐบาลเอสโตเนียนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในหลายด้านและได้แสดงให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเอสโตเนียช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะและสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน ตั้งแต่ระบบดิจิทัลไอดี ระบบจัดการข้อมูลสุขภาพเก็บประวัติทางการแพทย์ ระบบลงคะแนนทางอิเล็กทรอนิกส์ ระบบข้อมูลธุรกิจและภาษี ระบบทะเบียนที่ดินและธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์
ยังมีอีกหลายประเทศที่นำบล็อกเชนมาใช้ในบริการภาครัฐ เช่น ยูเออี ฟินแลนด์ ใช้บล็อกเชนในระบบทะเบียนที่ดิน
และสิงคโปร์ ใช้บล็อกเชนในระบบข้อมูลสุขภาพประชาชน
นอกจากนี้ ยังมีการทดลองนำบล็อกเชนมาใช้ในโลกการเงินและการทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศอย่างแพร่หลาย
สำหรับประเทศไทย แม้แนวคิดเรื่องการนำบล็อกเชนมาใช้ในภาครัฐอาจยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น
แต่ความสนใจเทคโนโลยีนี้ก็กำลังเติบโตขึ้นมาโดยตลอดโดยเฉพาะในภาคเอกชนและภาคการเงิน ได้มีการพัฒนานำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้อย่างประสบความสำเร็จในหลายโครงการ
เช่น NDID ระบบการยืนยันตัวตนดิจิทัลที่ผู้ใช้บริการสามารถยืนยันตัวตนทางออนไลน์ได้สะดวกและปลอดภัย
และ e-LG ระบบออกจดหมายค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทดลองการพัฒนาเงินตราดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) โดยนำบล็อกเชนมาใช้ตั้งแต่โครงการอินทนนท์เฟสแรก เพื่อทดลองการใช้ CBDC ทำธุรกรรมการเงินระหว่างสถาบันการเงิน จนไปถึงการทดลองการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนทำธุรกรรมข้ามพรหมแดน ร่วมกับ จีน ฮ่องกง และยูเออี ด้วย CBDC 4 สกุลเงิน เพื่อพัฒนาระบบชำระเงินให้มีความประสิทธิภาพและมากขึ้น
มีการพูดถึงการนำบล็อกเชนมาใช้ในบริการสาธารณะของไทยในหลายด้าน ซึ่งไทยสามารถดูตัวอย่างจากกรณีที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศได้มากมาย
เช่น การจัดการทะเบียนโฉนดที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามารถลดปัญหาการปลอมแปลงเอกสารและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการซื้อขาย
การจัดการข้อมูลสุขภาพประชาชนและสวัสดิการสาธารณสุข เพื่อป้องกันการทุจริตและการใช้งบประมาณซ้ำซ้อน
การจัดการด้านการศึกษาเพื่อให้การตรวจสอบคุณวุฒิน่าเชื่อถือ ระเบียนการศึกษา
การให้ทุนการศึกษาและสวัสดิการไม่ทับซ้อน
นอกจากนี้ บล็อกเชนยังสามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมต่างๆ โดยผูกเงื่อนไขไว้กับสมาร์ตคอนแทร็ก เช่น เมื่อแจ้งเกิดบุตรก็ได้รับสวัสดิการเด็กแรกเกิดทันที
บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้บริการภาครัฐมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
บทสรุป : ดาบสองคม
นวัตกรรมบิตคอยน์ และเทคโนโลยีบล็อกเชน มีศักยภาพอย่างมากสำหรับรัฐบาลที่ยินดีจะเผชิญหน้ากับความซับซ้อนและผลกระทบที่ตามมา
การตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับเราและเราต้องทำให้ถูกต้อง
สำหรับบล็อกเชนนั้นก็อาจจะไม่เหมาะจะใช้กับทุกเรื่อง
แต่เรื่องไหนที่ต้องการความโปร่งใส การเชื่อถือยอมรับจากประชาชนก็ควรนำมาใช้
ในขณะที่การถือบิตคอยน์อาจมีประโยชน์ แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นกัน การนำบิตคอยน์มาใช้เป็นสินทรัพย์ในทุนสำรองของชาติยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาก เนื่องจากความผันผวนของราคาและการไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
การมีบิตคอยน์ในสัดส่วนที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของชาติได้ ในอนาคตหากถึงวันที่ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ถือบิตคอยน์ในทุนสำรองกันมากขึ้น ความผันผวนของราคาบิตคอยน์อาจจะลดลงและทำให้สภาพคล่องของบิตคอยน์ในตลาดมีมากขึ้น ความน่าสนใจที่จะมีบิตคอยน์อยู่ในทุนสำรองของชาติก็อาจมีมากขึ้น
สำหรับบิตคอยน์ซึ่งมีภาพลักษณ์ของการถูกใช้ในเรื่องไม่ดีหรืออาชญากรรม เพื่อปกปิดตัวตน เป็นที่น่าสนใจว่าประเทศไทยยังไม่มีการยึดอายัดบิตคอยน์ หรือคริปโตที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมมาเป็นสมบัติแผ่นดินเลย
ในขณะที่สหรัฐได้มีการยึดบิตคอยน์จากการกระทำผิดถึง 207,000 บิตคอยน์ มูลค่ากว่า 7.12 แสนล้านบาทไว้เป็นสมบัติแผ่นดินแล้ว เป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าบิตคอยน์หรือคริปโตเหล่านี้หายไปไหน
ก่อนที่จะถือบิตคอยน์ในทุนสำรองสิ่งที่รัฐบาลไทยควรเริ่มทำสำหรับบิตคอยน์และคริปโตอาจจะเป็นการทบทวนแก้ไขกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบต่างๆ ให้รัฐสามารถยึด อายัด ครอบครองบิตคอยน์และคริปโตจากอาชญากรรมเหล่านี้ให้ได้เช่นกัน
ในขณะที่เรายืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางเทคโนโลยีนี้ ความท้าทายสำหรับรัฐบาลคือการใช้ศักยภาพของ Bitcoin และ Blockchain โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อเสีย
หากทำได้ถูกต้อง เทคโนโลยีเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงการปกครองและการเงินให้ดีขึ้น
หากทำผิดพลาด อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการสูญเสียความไว้วางใจจากประชาชน
การตัดสินใจนี้ขึ้นอยู่กับเรา และเราต้องทำให้ถูกต้อง
หมายเหตุ ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อดีตพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย รับผิดชอบโครงการ digital currency project โครงการ cross border CBDC project หรือ mBridge ธนาคารแห่งประเทศไทย
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022